
เพราะรองเท้าคือสิ่งสำคัญสำหรับผู้รัก การวิ่ง ทุกคน
Sportlifeonline ใส่ใจรองเท้าวิ่งทุกคู่ คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาสู่คุณ เพราะรองเท้าคือสิ่งสำคัญสำหรับผู้รักการวิ่งทุกคน
เพราะการวิ่งนั้นถือเป็นการออกกำลังที่ดีต่อสุขภาพ การวิ่ง อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักและเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้วิ่งให้แข็งแรงสง่างาม เรียกได้ว่าการวิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายแทบทุกส่วนรวมไปถึงในเรื่องของจิตใจด้วย คนยุคใหม่จึงหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการวิ่งกันมากขึ้น และแน่นอนว่าจะวิ่งทั้งทีก็ต้องวิ่งให้ถูกวิธีรวมถึงเลือกรองเท้าวิ่งที่มี่คุณสมบัติในการถนอมเท้าและช่วยเสริมการวิ่งของเราด้วย ซึ่งทาง Sportlifeonline เรามีข้อมูลดีๆมาฝากทุกท่านในเรื่องลักษณะของรองเท้าวิ่งที่ดีรวมไปถึงเคล็บลับข้อแนะนำที่จะทำให้การวิ่งของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นด้วย
รองเท้าวิ่งที่ดี สำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพ
– สำหรับรองเท้าวิ่งที่ดีนั้นด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้าน จะต้องแข็งแรงพอที่จะปกป้องการบิดหมุนของส้นเท้าเพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาวิ่ง
– บริเวณส่วนบนของหุ้มส้นควรเว้นตรงกลางเพื่อป้องกันไม่ให้กดเอ็นร้อยหวาย
– ด้านหน้าของรองเท้า ตรงบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า จะต้องนูนสูงขึ้นอย่างน้อย 1/2 นิ้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วและเล็บหัวแม่เท้าถูกกดเบียดไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดออกใต้เล็บได้
– ลิ้นรองเท้าต้องบุให้นุ่มและปิดส่วนบนฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันการเสียดสีและระคายเคืองของนิ้วเท้า
– เชือกผูกรองเท้าไม่ควรยาวจนเกินไป เวลารัดไม่ควรแน่นหรือหลวมจนเกินไป
– บริเวณส้นรองเท้าจะต้องฝานให้เป็นรูปมน เพื่อช่วยให้การลงของเท้าเป็นไปได้สะดวกและเร็วขึ้น ที่ส้นเท้าจะต้องมีลิ้นที่นุ่มพอสมควร เสริมในส้นเพื่อช่วยกลืนแรงขณะส้นเท้ากระแทกกับพื้น
– แกนยาวของรองเท้าอาจเป็นสันตรงหรือหักโค้งเล็กน้อย
– พื้นรองเท้าบริเวณกึ่งกลางจะต้องหักงอได้ เพื่อช่วยรองรับอุ้งเท้า
– พื้นรองเท้าจะต้องมีปุ่มสตั๊คหรือดอกยาง เพื่อไม่ให้ลื่นและกลืนแรงสะท้อน
– พื้นภายในรองเท้าตรงบริเวณอุ้งเท้า ต้องเสริมให้นูนสูง ให้เข้ารูปพอดีกับอุ้งเท้า
เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บบริเวณส้นเท้าและการอักเสบของพังผืดกระดูกฝ่าเท้า
สาระน่ารู้เรื่องการวิ่ง
– ท่าวิ่งที่ถูกต้อง ไม่ควรวิ่งลงปลายเท้า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายอักเสบได้ง่าย เวลาวิ่งควรใช้แรงจากกล้ามเนื้อโคนขา มากกว่าที่ปลายเท้าเพราะเป็นกล้ามเนื้อใหญ่ที่แข็งแรงและมีพลังมาก
– การวิ่งระยะยาวอาจทำให้กล้ามเนื้อปวดเมื่อยได้ควรวิ่งแบบนี้อาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากกล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากไกลโคเจนในการออกกำลังกาย ถ้าเราใช้ไกลโคเจนหมดกล้ามเนื้อจะเริ่มสะสมใหม่ ซึ่งจะเก็บสะสมไว้มากกว่าคราวที่ผ่านมาหมายความว่าคราวหน้าเราจะวิ่งได้ไกลขึ้น จะเป็นอย่างนี้ขึ้นไปเรื่อยๆซึ่งการวิ่งจนปวดกล้ามเนื้อแบบสุดๆ คืออาการของไกลโคเจนหมดนั่นเอง
– ส่วนการวิ่งเร็วควรวิ่งอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพราะจะทำให้ร่างกายทำงานหนักและได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
– เวลาวิ่งให้หายใจโดยใช้กระบังลมเพราะการหายใจที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คือการหายใจตื้นและสั้นซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการวิ่ง ดังนั้นจึงต้องใช้กระบังลมเข้าช่วยเพื่อให้มีการหายใจที่ลึกและยาว เราสามารถฝึกหายใจโดยใช้กระบังลมได้โดยนอนหงายเอาหนังสือวางไว้บนหน้าท้องแล้วสังเกตว่า ถ้าหนังสือขยับขึ้นก่อนสูดลมหายใจเข้าลดลงตอนหายใจออก เป็นอันว่าใช้ได้และควรยืดกล้ามเนื้อโดยให้ยืดวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อและลดอาการบาดเจ็บขณะวิ่ง
การลงเท้า มี 3 วิธี คือ
1. ลงส้นเท้าก่อนปลายเท้า เป็นท่าที่เหมาะสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้น
ก่อนแล้วทั้งฝ่าเท้าจะตามมาและเมื่อปลายเท้าลงมาแตะพื้นก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้า
ยกขึ้น เข่าไม่ยกสูงมากและไม่เหยียดสุดปลายเท้าจะดันตัวไปข้างหน้า
2. ลงเต็มฝ่าเท้า
ฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นพร้อมกันแล้วจึงใช้ปลายเท้าดันต่อไปข้างหน้าซึ่งท่านี้จะสามารถ
ลดแรงกระแทกของเท้าขณะลงพื้นได้ดีแต่เป็นท่าที่เมื่อยมากถ้าวิ่งไปไกลๆ
3. ลงปลายเท้า
เหมาะสำหรับการวิ่งเพื่อแข่งขันโดยจะลงพื้นด้วยปลายเท้าซึ่งทำให้มีพลังและความ
เร็วเพิ่มขึ้นมากแตะเพิ่มแรงเครียด ให้กล้ามเนื้อน่องตึงและเอ็นร้อยหวายอักเสบได้
ถ้าวิ่งไกลๆ
การแกว่งแขน
ส่วนลำตัวและศีรษะควรตั้งตรงเพื่อลดอาการปวดหลังและลดแรงเครียดที่เกิดใน
กล้ามเนื้อขา แกว่งแขนเล็กน้อยโดย งอข้อศอกเล็กน้อย กำมือหลวมๆ และแกว่งแขนไปข้างหน้าต่ำๆ ข้างลำตัวในลักษณะสบาย ไม่เกร็ง เป็นจังหวะที่สัมพันธ์กับการก้าวเท้า คือแกว่งแขนซ้ายไปข้างหน้าขณะก้าวเท้าขวา ข้อศอกงอเล็กน้อยกำมือหลวมๆ
การหายใจขณะวิ่ง
จังหวะการหายใจควรเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าฝืนหรือชะลอจังหวะการหายใจ
ขณะวิ่งควรหายใจทั้งเข้าและออก ทางจมูก ต่อเมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่พอ จึงหายใจ
เข้าทางจมูกแล้วปล่อยลมออกทั้งทางจมูกและปากพร้อมกัน แต่ถ้าเหนื่อย มากๆ
ก็ใช้การหายใจ ทางปากช่วยเป็นช่วงๆ และควรผ่อนความเร็วลง ตามปกติแล้ว
เมื่อวิ่งไประยะหนึ่ง จังหวะการหายใจ จะปรับตัวเองให้เข้ากับจังหวะ การวิ่งซึ่งจะ
เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าวิ่งสบาย
สัญญาณเตือนว่าควรหยุดวิ่ง
1. เวียนศีรษะ คลื่นไส้หรือหน้ามือเป็นลม
2. รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทันหรือหายใจไม่ออก
3. ใจสั่น แน่น เจ็บตื้อบริเวณหน้าอก
4. ลมออกหู หูตึงกว่าปกติ
5. การเคลื่อนไหวร่างกายควบคุมไม่ได้