
จ๊อกกิ้งวันละนิด สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เสริมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย
จ๊อกกิ้งวันละนิด สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เสริมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย
Sportlifeonline ร่วมส่งเสริมสุขภาพที่ดีของคุณ
จ๊อกกิ้งวันละนิด สดชื่นกระปรี้กระเปร่า การวิ่งจ๊อกกิ้งหรือวิ่งเหยาะๆ หรือวิ่งช้า ๆ ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ลดความตึงของร่างกายจากการวิ่งเร็วๆ การวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายที่ทำง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพและกลุ่มคนที่อยากลดน้ำหนัก
การวิ่งจ๊อกกิ้งจะช่วยเบิร์นไขมันส่วนเกินได้ประมาณ 150 กิโลแคลอรีต่อการวิ่ง 1.6 กิโลเมตร ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเผาผลาญได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่วิ่งจ๊อกกิ้งอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นใครอยากลดน้ำหนักด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งก็ได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรต้องวิ่งจ๊อกกิ้งไม่ต่ำกว่า 10 นาทีต่อครั้ง และวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นประจำด้วย
ประโยชน์ของการวิ่งจ๊อกกิ้ง
1. การวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอชนิดหนึ่ง จึงช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด และหัวใจทำงานได้ดีขึ้น
2. การวิ่งจ๊อกกิ้งช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ ป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่หน้ามืดเป็นลมง่าย
3. หากวิ่งจ๊อกกิ้งถูกวิธี จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุนได้ด้วย
4. การวิ่งจ๊อกกิ้งช่วยลดน้ำหนักได้
5. การวิ่งจ๊อกกิ้งช่วยกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด และทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย
6. จ๊อกกิ้งช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะหากวิ่งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น
7. ช่วยฝึกความอดทนให้ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น
8. ช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะการจดจ่ออยู่กับการวิ่งจ๊อกกิ้งจะช่วยให้เราได้ปลดปล่อยความคิดไประหว่างทาง บวกกับความสดชื่นจากการออกกำลังกายก็จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
การวิ่งจ๊อกกิ้งที่ถูกวิธี
1. ควรอบอุ่นร่างกายโดยวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้วิ่งจริง พร้อมกับยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้เวลาอบอุ่นร่างกายประมาณ 4-5 นาที
2. เมื่อวิ่งจ๊อกกิ้งจริง ๆ ส้นเท้าควรจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้น ส้นเท้าจึงจะเปิดขึ้น ปลายเท้าก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า โดยจุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่าซึ่งควรต้องงอเข่านิด ๆ และเท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไปข้างหน้า
3. ควรวิ่งจ๊อกกิ้งโดยให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ส่วนต่าง ๆ จากศีรษะลงมาที่หัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นควรเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้านหน้าหรือเอนไปด้านหลัง
4. การเคลื่อนไหวของแขนจะเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่ง ดังนั้นขณะที่วิ่งจ๊อกกิ้งแขนก็ควรแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง และพยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา ส่วนหัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นาน ๆ
5. ควรหายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ทั้งนี้การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง โดยสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยาย และบังคับปล่อยลมให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง เพราะการหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้
6. อบอุ่นร่างกายหลังวิ่งอีกครั้ง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจังหวะหัวใจให้คงที่
เคล็ดลับการวิ่งจ๊อกกิ้ง
– เสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะวิ่งควรทำจากผ้าฝ้าย ไม่รัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป
– รองเท้าใส่วิ่งควรเป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า รวมทั้งพื้นรองเท้าควรมีความหนาและนุ่มเพื่อรองรับการกระแทก
– การหายใจขณะวิ่งควรเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าฝืนหรือชะลอจังหวะการหายใจขณะวิ่งควรหายใจทั้งเข้าและออกทางจมูกต่อเมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่พอจึงหายใจเข้าทางจมูกแล้วปล่อยลมออกทั้งทางจมูกและปากพร้อมกัน แต่ถ้าเหนื่อยมากๆก็ใช้การหายใจทางปากช่วยเป็นช่วงๆ และควรผ่อนความเร็วลง ตามปกติแล้วเมื่อวิ่งไประยะหนึ่งจังหวะการหายใจ จะปรับตัวเองให้เข้ากับจังหวะ การวิ่งซึ่งจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าวิ่งสบาย
– รองเท้าที่ดีสำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพ คือบริเวณส่วนบนของหุ้มส้น ควรเว้นตรงกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้กดเอ็นร้อยหวายด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้าน จะต้องแข็งแรงพอที่จะปกป้องการบิดหมุนของส้นเท้าเพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาวิ่ง
– ด้านหน้าของรองเท้าตรงบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าจะต้องนูนสูงขึ้นอย่างน้อยครึ่งนิ้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วและเล็บหัวแม่เท้าถูกกดเบียดไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดออกใต้เล็บได้ ส่วนลิ้นรองเท้าต้องบุให้นุ่มและปิดส่วนบนฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันการเสียดสีและระคายเคืองของนิ้วเท้า สำหรับเชือกผูกรองเท้าไม่ควรยาวจนเกินไปเวลารัดไม่ควรแน่นหรือหลวมจนเกินไป
สัญญาณเตือนว่าควรพักก่อน
1. เวียนศีรษะ คลื่นไส้หรือหน้ามือเป็นลม
2. รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทันหรือหายใจไม่ออก
3. ใจสั่น แน่น เจ็บตื้อบริเวณหน้าอก
4. ลมออกหู หูตึงกว่าปกติ
5. การเคลื่อนไหวร่างกายควบคุมไม่ได้