
มาวิ่งกันเถอะ ชวนคนใกล้ตัวคุณมาออกกำลังกายด้วยกัน สนุกและท้าทาย ไปกับระดับความเร็วของการวิ่งที่เพิ่มขึ้น
มาวิ่งกันเถอะ ชวนคนใกล้ตัวคุณมาออกกำลังกายด้วยกัน สนุกและท้าทาย ไปกับระดับความเร็วของการวิ่งที่เพิ่มขึ้น
มาวิ่งกันเถอะ เนื่องจากการวิ่ง เป็นกิจกรรมที่ทุกคนต่างสามารถทำได้ แต่การวิ่งให้ได้เร็วขึ้นและคงระดับความเร็วในระยะยาวเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนและต้องมีความทุ่มเท มุ่งมั่นและมีวินัย ผู้ที่ชอบวิ่งส่วนใหญ่ไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่ถ้าคุณต้องการทำเวลาให้ได้ดีขึ้น ลองศึกษาเทคนิคเหล่าที่อาจจะช่วยให้คุณวิ่งเร็วขึ้นได้อย่างอัศจรรย์ใจ
1. จับเวลาที่วิ่งได้ปัจจุบัน ก่อนที่จะวิ่งให้ได้เร็วขึ้น ก็ต้องทำการจับความเร็วที่วิ่งได้ตอนนี้ก่อน เพื่อที่จะได้เห็นพัฒนาการ และเปรียบเทียบความเร็วก่อนและหลังได้ เริ่มจากการจับเวลาที่ใช้วิ่งในระยะทาง 1.6 กิโลเมตร ไม่ว่าใช้เวลาแค่ 8 นาที หรือนานถึง 16 นาที เมื่อทราบความเร็วปัจจุบันแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มต้นฝึกฝนให้วิ่งได้เร็วขึ้น
คำแนะนำเพิ่มเติม
• แนะนำให้เริ่มเริ่มวิ่งในลู่วิ่งของสนามกีฬา เพราะลู่วิ่งที่ยาว 400 เมตร จะมีระยะทางเท่ากับ 1/4 ไมล์ ดังนั้นการวิ่ง 4 รอบสนามก็จะเท่ากับการวิ่ง 1.6 กิโลเมตร
• แต่ถ้ารอบบ้านคุณไม่มีลู่วิ่ง ลองเริ่มจากการหาพื้นถนนหรือทางเท้าที่ค่อนข้างเรียบ และลองวัดระยะทางให้ได้ว่า 1.6 กิโลเมตร จะเริ่มต้นและจบตรงไหน และลองจับเวลาดู
• คุณควรนับก้าวที่วิ่งได้ในเวลาหนึ่งนาทีด้วย ซึ่งทำได้โดยเริ่มจับเวลา 1 นาทีจากนาฬิกา และลองนับก้าวของเท้าขวาเวลาวิ่ง จะนับได้กี่ก้าวก็ตาม ในระหว่างการฝึกฝน ต้องตั้งเป้าให้สามารถเพิ่มจำนวนก้าวได้อีกเท่าตัว
2. หาสถานที่เหมาะๆ เช่น สนามกีฬาที่มีลู่วิ่ง ทางเท้า หรือถนนแถวบ้าน ที่มีพื้นผิวค่อนข้างเรียบ และมีระยะทางอย่างน้อย 400 เมตร แนะนำว่าลู่วิ่งจะเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มวิ่งและต้องการที่จะเพิ่มความเร็ว เนื่องจากจะสามารถดูพัฒนาการได้ง่าย เพราะมีขนาดมาตรฐานที่ 400 เมตร แถมยังมีพื้นผิวเรียบเสมอกัน และไม่มียานพาหนะวิ่งไปมา
คำแนะนำเพิ่มเติม
• หากคุณไม่มีสนามกีฬาอยู่ใกล้บ้านก็สามารถไปวิ่งที่สวนสาธารณะได้
• สามารถฝึกวิ่งบนลู่วิ่งในฟิตเนส หรือบนถนนที่รถไม่เยอะก็ได้เช่นกัน
• พยายามหลีกถนนที่โค้งมาก หรือมีหลุมบ่อเยอะๆ เพราะสภาพของถนนสามารถส่งผลกับประสิทธิภาพในการวิ่งได้ เช่นในถนนโค้งมาก ตรงช่วงโค้งของถนนจะออกแบบมาให้เอียงเล็กน้อย ทำให้เท้าทั้งสองข้างของคุณไม่อยู่ในระดับเดียวกัน
3. จัดตาราง หากต้องการเพิ่มความเร็วในการวิ่งให้ได้ ก็ต้องใช้ทั้งความทุ่มเทและวินัยมากขึ้นเช่นกัน พยายามจัดตารางการวิ่งที่เป็นไปได้ ในขณะที่ก็ต้องท้าทายตัวเองด้วย แต่อย่างน้อยคุณควรตั้งเป้าว่าต้องวิ่งให้ได้สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ในระยะทางและความเร็วที่ต่างกันไป
4. ตั้งเป้าหมาย หากต้องการวิ่งให้ได้เร็วขึ้น คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนไว้ในใจก่อน การมีเป้าหมายจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ และบังคับให้ตัวเองพยายามที่จะเอาชนะเป้าหมายให้ได้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะตั้งเป้าไว้อย่างไร ก็ขอให้เป้านั้นท้าทายแต่ในขณะเดียวกันก็ขอให้สามารถทำได้ด้วย
5. เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม การเลือกอุปกรณ์วิ่งที่เหมาะกับการวิ่ง เช่น เสื้อ หรือรองเท้า ถึงแม้อาจจะไม่ช่วยให้วิ่งเร็วขึ้นแต่ก็สามารถทำให้รู้สึกว่าแบกน้ำหนักที่เบาขึ้น ทุกวันนี้มีรองเท้าวิ่งให้เลือกซื้อมากมายและมีจำนวนไม่น้อยที่พยายามออกมาให้ได้ความรู้สึกเหมือนการวิ่งเท้าเปล่า
คำแนะนำเพิ่มเติม
• เสื้อวิ่งที่เบาและระบายอากาศดี จะช่วยให้คุณรู้สีกไม่ร้อนและเบาขณะที่วิ่ง ซึ่งให้ผลทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ
• คุณสามารถเลือกซื้อรองเท้าวิ่งคุณภาพเยี่ยมที่ถูกใจได้ที่ www.sportlifeonline.com
• คุณอาจจะลงทุนซื้อนาฬิกาสมาร์ทวอชท์ ซึ่งจะช่วยในการวัดระยะเวลาในการวิ่ง ระยะทาง ความเร็ว แคลลอรี่ที่เผาผลาญไป และการเต้นของหัวใจได้แม่นยำมากขึ้น
6. ชวนเพื่อนมาวิ่งด้วยกัน. การเอาเพื่อมามีส่วนร่วมในการออกกำลังกาย สามารถช่วยในการจูงใจได้ โดยอาจจะให้เพื่อนมาวิ่งด้วยกัน หรือแม้แต่ให้มาช่วยเป็นโค้ช การที่มีคนอื่นมาวิ่งไปพร้อมกัน จะทำให้โอกาสที่คุณจะหยุดวิ่งน้อยลง และอาจทำให้สนุกขึ้นเมื่อชวนเพื่อนมาแข่งขันกัน
7. คิดค้นคำพูดที่ไว้ใช้กระตุ้นตัวเอง ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องการแรงจูงใจมากขึ้น ในการไปให้ถึงเป้าหมายในการเพิ่มความเร็ว ลองคิดหาคำพูดซักอัน ที่ทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจ และพูดมันกับตัวเองซ้ำๆ ขณะที่วิ่ง ประโยคที่คุณเลือก จะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่คุณชอบ ตราบใดที่มันสามารถกระตุ้นให้วิ่งให้ดีขึ้นได้
8. จดบันทึกการวิ่ง การจดบันทึกเป็นวิธีที่ดีในการติดตามผลการฝึก และช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจในการวิ่งต่อไป หลังการวิ่งแต่ละครั้ง จดเวลา ความเร็วเฉลี่ย เส้นทาง สภาพอากาศ และความรู้สึกของร่างกายในขณะวิ่ง การจดบันทึกให้ละเอียด จะช่วยให้เรียนรู้ว่าสภาวะแบบไหน มีผลกระทบกับความเร็วและเวลาในการวิ่งอย่างไร ซึ่งหากคุณบันทึกไว้ว่าหัวเข่ามีอาการเจ็บหลายครั้งตอนวิ่ง คุณก็จะรู้ว่าต้องพักสักวันแล้ว เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ หรือคุณอาจจะเห็นว่าการวิ่งเริ่มจำเจ และอาจถึงเวลาต้องปรับตารางบ้าง อาจจะเลือกวิ่งในเส้นทางใหม่ๆหรือการฝึกเพิ่มความเร็วแบบใหม่ๆก็ได้เช่นกัน