
ยิ่งวิ่งยิ่งดีต่อสุขภาพ จัดสรรเวลาวิ่ง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคุณ
ยิ่งวิ่งยิ่งดีต่อสุขภาพ จัดสรรเวลาวิ่ง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคุณ
ยิ่งวิ่งยิ่งดีต่อสุขภาพ วันนี้คุณวิ่งแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้วิ่งก็มาวิ่งกันเถอะ เลือกซื้อรองเท้าวิ่งที่ถูกใจสักคู่ที่ sportlifeonline แล้วออกไปวิ่งกัน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการวิ่งซึ่งถือเป็นเทรนด์สุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จะวิ่งบนลู่หรือออกไปวิ่งที่สนามกับเพื่อนๆรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้องค์กร WHO ยังแนะนำอีกว่า ผู้ใหญ่อายุ 18-64 ปี ควรออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายหนักปานกลาง โดยสะสมให้ได้อย่างน้อย 300 นาที/สัปดาห์ หรือเลือกออกกำลังกายที่มีความหนักให้ได้ 150 นาที/สัปดาห์ ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้การเล่นกีฬาหรืออกกำลังกายในแต่ละครั้งควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที
ประโยชน์ของการวิ่ง
1. ป้องกันโรค การวิ่งไม่เพียงแค่ลดน้ำหนักได้แต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆได้ดี ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับไขมันในเลือดและป้องกันไม่ให้หน้ามืดจนเป็นลมได้ง่าย สำหรับผู้หญิงการวิ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมและยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง แพทย์หลายคนแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานระยะแรกให้ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง รวมไปถึงยังเหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโรคหิตสูง โรคกระดูกพรุนและยังช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ โดยการวิ่งจะช่วยให้หลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นขึ้นเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจลดโอกาสที่จะมีอาการหัวใจวายได้อย่างมาก จากการวิจัยพบว่าการวิ่งจะช่วยเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลที่ดี ช่วยการทำงานของปอดให้ใช้งานได้ดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มระดับของภูมิคุ้มกันและยังลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดได้ด้วย
2. ช่วยลดน้ำหนัก การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักหรือรักษาน้ำหนักไว้ให้คงที่ ซึ่งการวิ่งนี้จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการวิ่งเป็นการออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ ซึ่งการออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดีจึงช่วยสลายไขมันให้หมดไป ทำให้รูปร่างกระชับเฟิร์มขึ้นและสามารถลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีด้วย
3. บรรเทาความเครียด ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาสุขภาพและปัญหาทางด้านอารมณ์ นอกจากนี้ยังลดความอยากอาหารและคุณภาพการนอนหลับก็ลดลงไปด้วย เมื่อคุณวิ่งจะมีการบังคับให้ร่างกายใช้พลังงานและฮอร์โมนส่วนเกินจึงช่วยลดอาการปวดหัวจากความตึงเครียดได้
4. ขจัดภาวะซึมเศร้า เมื่อคุณรู้สึกหดหู่ควรลุกขึ้นมาแล้วออกไปวิ่ง แล้วคุณจะพบว่าหลังจากใช้เวลาวิ่งเพียงไม่กี่นาที สมองก็จะปลอดปล่อยฮอร์โมนซึ่งช่วยยกระดับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้น
5. สมองไวขึ้นการวิ่งจะช่วยให้ความจำดี ควรวิ่งให้ได้ประมาณ 30 นาที หรือ 5,400 ก้าว นั่นจะยิ่งช่วยให้สมองของคุณทำงานได้ดี มีการตอบโต้รวดเร็วลดโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ด้วย
การวิ่งเพื่อสุขภาพจะต้องกำหนดท่วงท่าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บข้อแตกต่างระหว่างการวิ่งกับการเดิน คือ ขณะก้าวเดินจะมีเท้าข้างหนึ่งรับน้ำหนักร่างกาย แต่การวิ่งจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เท้าทั้งสองข้างลอยเหนือพื้นและเมื่อเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น เท้านั้นจะรับน้ำหนักร่างกายไว้มากกว่าปกติ ดังนั้นเทคนิคการวางเท้าขณะวิ่งมีความสำคัญมากขอแนะนำการจัดระเบียบร่างกายในการวิ่งเพื่อสุขภาพ ดังนี้
1. เข่าและเท้า ควรให้ส้นเท้าสัมผัสพื้นก่อนแล้วจึงตามด้วยทั้งฝ่าเท้าและเมื่อส้นเท้าเปิด จะพอดีกับที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นเพื่อช่วยในการถีบตัวให้เคลื่อนไปข้างหน้า จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรตรงกับตำแหน่งที่งอเข่า สำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพไม่ควรวิ่งลงปลายเท้า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายอักเสบได้ง่าย ควรใช้กล้ามเนื้อโคนขามากกว่าปลายเท้าเพราะเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่แข็งแรงและมีพลังมาก โดยสรุปการวิ่งเพื่อสุขภาพนักวิ่งควรจะลงด้วยส้นเท้าก่อนส่วนอื่นของเท้าต่างจากการวิ่งเร็ว ซึ่งจะลงพื้นด้วยปลายเท้าก่อน
2. การเคลื่อนไหวของแขน ช่วยในเรื่องการทรงตัวและจังหวะในการวิ่ง ขณะวิ่งให้แกว่งแขนตัดเข้าลำตัวเล็กน้อยตามจังหวะของการวิ่ง ไม่เกร็งแขน จังหวะของการแกว่งแขนให้ไหล่เป็นจุดหมุนพร้อมดึงข้อศอกไปข้างหลัง มุมข้อศอกงอประมาณ 90 องศา กำมือหลวมๆ วางนิ้วหัวแม่โป้งบนนิ้วชี้ บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขน เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
3. ลำตัวและไหล่ ลำตัวควรตั้งตรงในขณะวิ่ง ไม่งอหรือพับช่วงเอว ทิ้งน้ำหนักตัวและเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ลำตัวต้องไม่ส่ายไปมา ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ไหล่ปล่อยตามสบาย ไม่เกร็งหรือยกไหล่สูง
4. การหายใจ การหายใจควรเป็นไปอย่างสบายๆ และหายใจด้วยท้อง ซึ่งเป็นการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปในปอดจนท้องขยายและค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกด้วยการแขม่วท้อง ปล่อยลมหายใจออกทั้งทางจมูกและปากพร้อมกัน การหายใจอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นและไม่ทำให้เกิดการจุกเสียดท้องขณะวิ่ง
สาระน่ารู้เรื่องการวิ่ง
Duck-Chul D.C Lee หัวหน้าทีมวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว มหาวิทยาลัยไอโอวา ได้เก็บสถิติของผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18-100 ปี จำนวน 55,137 คน โดยใช้เวลาวิจัยนานกว่า 15 ปี เพื่อเปรียบเทียบสุขภาพโดยรวมของคนที่วิ่งและไม่ค่อยได้วิ่งออกกำลังกาย ซึ่งผลวิจัยก็พบว่า คนชอบวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำจะมีอัตราป่วยด้วยโรคเรื้อรังอันตราย โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยลง 30% และมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้นถึง 3 ปี เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไร
นอกจากนี้นักวิจัยก็ได้ชูประเด็นสำคัญมาว่า ประโยชน์ของการวิ่งเป็นประจำทุกวันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการวิ่ง ระยะทางในการวิ่งหรือระยะเวลาที่วิ่งเลยแม้แต่น้อยแต่แค่วิ่งให้ได้วันละ 5-10 นาที ก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากถึง 58%