
รองเท้าวิ่ง ควรเป็นแบบไหน? คลิก Sportlifeonline.com ได้คำตอบที่ถูกใจ กับรองเท้าที่ต้องการ
รองเท้าวิ่งควรเป็นแบบไหน? คลิก Sportlifeonline.com ได้คำตอบที่ถูกใจ กับรองเท้าที่ต้องการ
การวิ่งถือเป็นการออกกำลังกายที่สะดวกและง่ายอย่างหนึ่ง เพียงแค่มี รองเท้าวิ่ง ดีๆสักครู่พร้อมกับพลังใจที่จะไปออกกำลังกาย แค่นี้คุณก็สามารถเรียกเหงื่อได้แล้ว แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมว่านักวิ่งหน้าใหม่หลายๆท่านที่เพิ่งริเริ่มการออกกำลังกายโดยการวิ่งนั้น บางท่านใส่รองเท้าผิดประเภทหรือใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสำหรับการวิ่งจ้อกกิ้งเลย นั่นคือสิ่งที่จะส่งผลเสียต่อสภาพเท้าได้ในอนาคต เพราะรองเท้านั้นจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการวิ่งได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาในเรื่องของการออกแบบรูปทรงรวมเท้ารวมถึงเนื้อของรองเท้าที่ช่วยซัพพอตเท้ามากขึ้น เน้นความปลอดภัยของผู้สวมใส่เป็นหลัก โดยมีความอ่อนนิ่มยืดหยุ่นของวัสดุที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกต่างๆได้ ฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจกับการเลือกรองเท้าดีๆมาใส่วิ่งกันเถอะ ซึ่งทาง Sportlifeonline มีรายละเอียดเพิ่มเติมเชิงสาระเกี่ยวกับลักษณะโดยรวมของรองเท้าวิ่งที่ดีมาฝากทุกท่านดังนี้
ลักษณะของรองเท้าวิ่งที่ดี
1. ใส่แล้วมีความพอดีกับเท้า เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่สุดที่ต้องเลือกสวมรองเท้าที่พอดี ไม่แคบ ไม่บีบรัดส่วนใดของเท้า รองเท้าที่ผิดๆ มักจะยาวและแคบทำให้บีบรัดส่วนกว้างที่สุดของฝ่าเท้าและเกิดการบาดเจ็บจากการวิ่งได้
2. เชือกรัดรองเท้าควรอยู่ตรงกลางและปล่อยส่วนปลายเท้าให้ว่างเว้นไว้ จะดีกว่าใช้เชือกรัดรองเท้ายาวจากปลายมาตลอด ถึงแม้จะปรับความพอดีของรองเท้าได้ แต่เมื่อวิ่งนานๆ หรือระยะไกลการเสียดสีหรือถูไถของเชือกบริเวณปลายเท้าส่วนที่เขย่งเมื่อวิ่งจะทำให้เกิดผิวหนังพุพองได้
3. ไม่ควรมีส่วนหุ้มส้นเท้าที่ยกสูงขึ้นมา ขณะวิ่งเมื่อเขย่งเท้าโดยข้อเท้ากระดกลงจะทำให้ส่วนที่ยื่นบนหลังส้นเท้านั้นกดที่เอ็นร้อยหวายพอดี หากวิ่งนานๆ จะทำให้เกิดการอักเสบของตัวเอ็นหรือปลอกหุ้มเอ็นของเอ็นร้อยหวายได้ เมื่อมีปัญหาเช่นนี้ให้ตัดออก หรือตลบลงด้านหลัง หรือตัดแยกยออกก็ได้
4. พื้นส้นเท้าสำหรับนักวิ่งต้องกลม เพราะส้นเท้าเรากลมถ้าไม่ฟิตพอดีทำให้ไม่มีความมั่นคงของส้นเท้าจะเกิดการบาดเจ็บตามมาและเจ็บหลังส้นเท้า พื้นรองเท้าควรแข็งและแน่นเพื่อความมั่นคงของส้นเท้าเช่นกัน
5. พื้นชั้นในที่รองรับฝ่าเท้าควรนิ่มและยืดหยุ่นและมีส่วนนูนรับอุ้งเท้าเพื่อให้ฟิตพอดี พื้นด้านนอกแข็งแต่บริเวณกึ่งกลางควรยืดหยุ่นและหักงอได้ และมีที่ยึดเกาะพื้นได้ดีไม่ราบเรียบจนลื่น
6. พื้นรองเท้าบริเวณส้นเท้าอาจเฉียงขึ้น เพื่อความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวก้าวเท้าขณะวิ่ง
7. รองเท้าวิ่งควรมีส้นสูงเล็กน้อยประมาณ 2 เซนติเมตรทั้งนี้เพื่อแบ่งเบาการทำงานของเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อต้นขา
8. วัสดุที่ห่อหุ้มรองเท้าไม่ควรแข็ง เพราะจะเกิดการเสียดสี ทำให้ร้อนและผิวหนังพองได้ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ผ้าใบ หรือไนล่อน ควรยืดหยุ่น นิ่ม และระบายความร้อนได้ดี
9. น้ำหนักรองเท้า ถ้าหนักก็มีความมั่นคงดี แต่วิ่งได้ช้า ดังนั้น การเลือกใส่ นอกจากความพอใจในน้ำหนักความพอดีแล้ว ถ้าแข่งขันใช้น้ำหนักเบา ก็จะทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น เมื่อใส่วิ่งแล้วควรตรวจดูและซ่อมแซม การชำรุดสึกหรอเพื่อไม่ให้ผิดรูปไป ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย
ข้อห้ามในการเลือกซื้อรองเท้า
1. เลือกเพราะความสวย ควรให้ความสวยเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมจากความเหมาะสม เมื่อใส่แล้วรู้สึกเหมาะกับเท้าเรา จากนั้นค่อยดูเรื่องความสวยงามก็ได้
2. เลือกรองเท้าที่เล็กเกินไป หลายๆคนมักเลือกรองเท้าที่คับเกินไป บางคนเผื่อว่ารองเท้าจะยืดทีหลัง บางคนเลือกรองเท้าตามกีฬาประเภทอื่นที่ตนเคยเล่น สุดท้ายรองเท้าคับเกินจนเจ็บเท้า หลักการง่ายๆคือ “ให้นิ้วเท้าเราเล่นเปียโนได้” หมายความว่ามีที่พอที่นิ้วเท้าเราสามารถขยับไปมาได้ประมาณครึ่งนิ้วจากปลายรองเท้า
3. ซื้อรองเท้าผิดเวลา ในช่วงเวลาหนึ่งวันเท้าเรามีขนาดไม่เท่ากัน ปกติแล้วในตอนเช้าเท้าเราจะเล็กกว่าตอนเย็น โดยเฉพาะตอนวิ่งเท้าเราก็จะขยายขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้พยายามซื้อรองเท้าตอนเย็น
4. คาดเดาขนาด Size รองเท้าตัวเองผิด เพราะลักษณะทรงของรองเท้าไม่เหมือนกัน ที่ใส่ไม่ได้อาจเป็นเพราะคนละยี่ห้อ คนละรุ่น ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงแนะนำให้ลองรองเท้าที่เรากำลังจะซื้อจะดีที่สุด
สิ่งสำคัญที่ต้องดูก่อนซื้อรองเท้า
1. ส้นเท้า (Heel) เมื่อเราใส่รองเท้าวิ่ง ส้นเท้าควรจะพอดีกระชับกับส้นรองเท้าไม่ใช่คับเกินไป เวลาวิ่งอย่าลืมร้อยเชือกให้ถึงรูบนสุดเพื่อป้องกันไม่ให้รองเท้าเลื่อนไหล ควรเลี่ยงรองเท้าที่ใส่แล้วรู้สึกเจ็บ
2. หลังเท้า (Instep) รองเท้าวิ่งที่เหมาะกับเราควรจะกระชับ และห่อหุ้มบริเวณหลังเท้าของเราได้ดีครับ อย่าให้รู้สึกว่าหลังเท้าโดนบีบมากเกินไป
3. ความกว้าง (Width) รูปเท้าของแต่ละคนแตกต่างกัน รองเท้าที่เหมาะควรมีความกว้างที่เหมาะสม โดยนิ้วเท้าไม่ควรแตะขอบของพื้นรองเท้า (Insole)
4. ความยาว (Length) ให้เท้าขยับขยายได้ทั้งความกว้างและความยาวเนื่องจากเท้าเราจะบวมขึ้นเวลาเราวิ่ง ดังนั้นอย่าลืมเผื่อที่ว่างระหว่างนิ้วเท้าที่ยาวที่สุดกับบริเวณปลายรองเท้าด้วย
5. ความโค้งงอตามรูปเท้า (Flex) รองเท้าจะโค้งขณะวิ่งแล้วเกิดจุดหัก ซึ่งเราจะเห็นจุดหักนี้ได้โดยการถือบริเวณส้นรองเท้าแล้วกดปลายรองเท้ากับพื้นครับ เราเรียกจุดนี้ว่า Flex Point เราควรตรวจเช็คจุดหักนั้ว่าพอดีกับเท้าของเราไหม