
วิธีทำความสะอาดรองเท้าวิ่ง สะอาดสุด ยืดอายุการใช้งาน ตามแบบฉบับของ sportlifeonline
วิธีทำความสะอาดรองเท้าวิ่ง สะอาดสุด ยืดอายุการใช้งาน ตามแบบฉบับของ sportlifeonline
รองเท้าวิ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักวิ่งทุกคน แม้ในยุคปัจจุบันเราสามารถจะเลือกใส่รองเท้าที่มีมาตรฐานทั้งการการออกแบบรวมถึงกระบวนการผลิตที่ยอดเยี่ยมได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรใส่ใจมากที่สุดนั่นคือการทำความสะอาดรองเท้าคู่โปรดที่ใส่อยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขลักษณะที่ดีในการใช้ครั้งต่อไปและเพื่อยืดอายุการใช้งานของรองเท้าด้วย ฉะนั้นเราจึงควรต้องรู้จักวิธีการที่ถูกต้องในการดูแลรักษารองเท้าวิ่งของเรา ซึ่งทาง sportlifeonline มี วิธีทำความสะอาดรองเท้าวิ่ง มาฝากทุกท่านดังนี้ครับ
วิธีทำความสะอาดรองเท้าวิ่งเบื้องต้น
1. หากคุณเป็นผู้ที่เล่นกีฬาอยู่เป็นประจำ ควรจะต้องมีรองเท้ามากกว่า 1 คู่ใส่สลับกันบ้าง ยิ่งการเล่นกีฬาที่ใช้เวลานานติดต่อกันหากใส่ซ้ำๆ กันทุกวัน รองเท้าก็จะเสื่อมสภาพง่าย และเก่าเร็วกว่าที่ควร ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยถนอมอายุการใช้งานรองเท้าให้ยาวนานมากขึ้นนั่นเอง
2. ไม่ควรซักรองเท้าวิ่งบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้กาวของรองเท้าเสื่อมได้ สำหรับผู้ที่ต้องการจะซักให้ถอดเชือกรองเท้าออกก่อน แล้วเอาน้ำใส่กะละมังใส่ผงซักฟอกเพียงเล็กน้อย จากนั้นนำรองเท้ากีฬาลงไปซัก โดยใช้แปรงที่มีขนนิ่มๆขัดถูเบาๆก็พอแล้ว ยกเว้นแต่ในกรณีที่ไปวิ่งลุยโคลนหรือมีคราบสกปรกฝังแน่นแบบซักไม่ออก ก็ให้ใช้ผ้าขนหนูมาชุบกับน้ำยาแอมโมเนียมาเช็ดที่บริเวณรอยที่เปื้อน หรืออาจต้องแช่ทิ้งไว้ 15-30 นาที แล้วค่อยเอาแปรงขัดคราบดินหรือโคลนออกให้หมดก่อน พอเห็นว่ารองเท้าสะอาดดีแล้ว ก็เอาไปวางไว้ในที่ร่มมีลมผ่าน
3. ในกรณีที่มีพื้นรองเท้า ก่อนซักให้ถอดเอาแผ่นรองเท้าไปซักในผงซักฟอกปกติ ส่วนตัวรองเท้าให้นำไปผึ่งลมควรหลีกเลี่ยงการเอาไปตากแดดที่แรงๆ เพราะอาจจะทำให้กาวที่ติดรองเท้าเสื่อม สำหรับในการแยกซักระหว่างแผ่นรองพื้นด้านรองเท้านี้จะต้องเป็นรุ่นที่สามารถแกะออกได้เท่านั้น อย่าซักรวมกันเพราะจะทำให้สะอาดได้ไม่ทั่วถึงและมีกลิ่นอับ โดยการทำแยกซักนี้จะช่วยให้พื้นด้านในรองเท้าดูไม่เก่าเร็วเกินไปรวมถึงเชือกผูกรองเท้าด้วย
4. หากไม่อยากลงมือซักด้วยตัวเอง ก็เอาไปซักในเครื่องซักผ้าได้เช่นเดียวกัน โดยเอาเชือกที่ผูกรองเท้าออกก่อน จากนั้นทำการซักโดยใส่ถุงผ้าแล้วปิดปากถุงให้แน่นแล้วค่อยเอาลงไปซัก แต่วิธีนี้อาจจะทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่ากับการซักด้วยมือ
5. อีกหนึ่งวิธีการทำความสะอาดรองเท้ากีฬาพร้อมทั้งดับกลิ่นเหงื่ออุปกรณ์กีฬาต่างๆนั้น เราสามารถโรยเบกกิ้งโซดาลงเข้าไปข้างในแล้วทิ้งไว้เพื่อดับกลิ่นอับได้ แต่ถ้าต้องการทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ก็แค่ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อสครับ นำมาขัดคราบทำความสะอาดรองเท้าและอุปกรณ์กีฬาต่างๆได้เลย
6. น้ำยาล้างจานในครัวก็สามารถนำมาทำความสะอาดรองเท้าคู่โปรดของคุณได้เช่นกัน โดยใช้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำประมาณครึ่งแก้วผสมกันพอลื่นแล้วนำแปรงสีฟันเก่าจุ่มแล้วขัดเบาๆไปที่บริเวณตัวรองเท้าให้คราบสกปรกหลุดออก ขั้นตอนสุดท้ายใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฟองและสิ่งคราบออกจนสะอาด
7. ควรตากรองเท้าไว้ให้แห้งตามธรรมชาติ ห้ามวางใกล้อุปกรณ์ทำความร้อน เพราะรองเท้าอาจจะเสียรูปทรงจากการได้รับความร้อนโดยตรง สำหรับรูปแบบในการตาก ให้เปิดลิ้นรองเท้าออกมาแล้วยัดกระดาษพวกหนังสือพิมพ์เข้าไป เพื่อให้ดูดซับความชื้นด้านในรองเท้า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมงให้แห้ง ซึ่งก็ถือเป็นระยะเวลาปกติในการตากรองเท้า
ข้อแนะนำการดูแลรองเท้าเบื้องต้น

ขอแนะนำคุณลูกค้าทุกท่านกับวิธีการทำความสะอาดและดูแลรองเท้าคู่เก่งของคุณกันเพื่อที่จะได้ช่วยยืดอายุของรองเท้าของคุณให้สามารถใช้ไปได้นานๆ ดังนี้
1. ทำความสะอาดรองเท้าทุกครั้งหลังจากการสวมใส่และพ่นสเปรย์รักษารองเท้าตามชนิดของวัสดุที่ใช้ทำรองเท้า
2. จัดเก็บรองเท้าในตู้เก็บหรือกล่องพลาสติกใสเพื่อกันฝุ่นและควรอยู่ในอุณหภูมิห้อง โดยวางรองเท้าไว้ให้ไกลจากเครื่องทำความอุ่น อาจยัดกระดาษเข้าไปในรองเท้าเพื่อให้กระดาษช่วยดูดซับความชื้นได้บ้าง แนะนำว่าเก็บรองเท้าของตัวเองไว้ในกล่องพลาสติกหรือกระดาษที่เจาะรูไว้เพื่อระบายอากาศ เพื่อป้องกันไม่ให้รองเท้าอับมาก และไม่ควรจัดเก็บรองเท้าไว้ที่หลังรถเพราะความร้อนอาจทำให้รองเท้าเสียหาย พื้นรองเท้าละลาย ยางละลายได้
3. ใช้ที่ใส่รองเท้าช่วยในการสวมเข้าไปทุกครั้งเพื่อช่วยไม่ให้บริเวณส้นเท้าเสียรูปทรง
4. ห้ามเหยียบบริเวณส้นเท้าเวลาถอดรองเท้า เพื่อช่วยลดการเสียรูปทรง
5. ห้ามดึงบริเวณที่เป็นส่วนประกอบต่างๆที่เป็นรอยต่อรองเท้า แผ่นยาง หรือสิ่งประดับอย่างอื่น ในขณะทำการสวมใส่รองเท้า
6. หากรองเท้ามีกลิ่นเหม็นอับ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าของหนุ่มสาวให้นำถุงเล็กๆ คล้ายถุงชา บรรจุถ่านไม้สีดำ บดละเอียดใส่เข้าไปในรองเท้า เพื่อให้ดูดกลิ่นอับในรองเท้า
7. อย่าปล่อยให้รองเท้าเปียกชื้นค้างคืนเพราะมันจะบ่มเพาะเชื้อรา แบคทีเรีย และสร้างกลิ่นเหม็นๆ ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา แต่ถ้าเป็นรองเท้าที่กันน้ำได้ด้วยก็ยิ่งดีเพราะดูแลรักษาได้ง่ายกว่า