
การป้องกันตัวเองจากอาการ Heat Stroke
ใส่ใจตัวเองทุกครั้งในการวิ่ง ด้วยการป้องกันตัวเองจากอาการ Heat Stroke และอาการต่างๆขณะวิ่ง
อากาศในบ้านเราถือว่าปกติก็ร้อนอยู่แล้ว และในหน้าร้อนแบบนี้ยิ่งไม่ต้องสืบ และด้วยอากาศที่ร้อนเช่นนี้ก็เลี่ยงไม่ได้สำหรับนักวิ่งที่ชอบซ้อมวิ่งกลางแดด มันก็เสี่ยงต่อการเกิดอาการ Heat Stroke หรือโรคลมแดด แต่ไม่ต้องกังวลถ้าเรารู้จักกับอาการนี้และเตรียมตัวรับมือกับมันได้
Heat Stroke คืออะไร?
คืออาการผิดปกติของร่างกาย ที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิขิงร่างกายเราสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยประมาณคือถ้าร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกิน 104 องศาฟาเรนไฮต์ หรือราวๆ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งมันจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง หรืออาจไปฆ่าเซลล์สมองบางตัวทำให้เราเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ขึ้น
อาการเมื่อเกิดภาวะ Heat Stroke
– ปวดหัว มึนงง
– ภาวะขาดเหงื่อ แม้จะอยู่ในอากาศร้อน
– ผิวแห้ง และร้อน
– กล้ามเนื้ออ่อนแรง
– การเต้นของหัวใจผิดปกติ
– สับสน เพ้อ
– ชัก หายใจหอบ
– หมดสติ
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอาการ Heat Stroke
ตามปกติแล้วภาวะนี้จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุได้ง่ายกว่าวัยรุ่นหรือเด็ก โดยเฉพาะถ้ามีภาวะความเป็นอยู่ที่แออัด คับแคบ อากาศไม่ถ่ายเท และยังรวมไปถึงคนทุกเพศทุกวัยที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอในสภาวะอากาศที่ร้อนจัด โดยปกติแล้วร่างกายจะทำการคูลดาวน์ด้วยตัวมันเองโดยการขับเหงื่อออกมา นั่นเป็นวิธีที่ร่างกายจัดการกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นตามที่ได้กล่าวไปว่าสำหรับคนที่เหงื่อออกยาก ก็เสี่ยงเกิดภาวะนี้เช่นกัน
การหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะ Heat Stroke
– สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย สีอ่อน ไม่คับจนเกินไป
– ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
– ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติในสภาวะที่อากาศร้อนจัด เพื่อป้องกันอาการที่ร่างกายสูญเสียน้ำอย่างเฉียบพลัน
– งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่มากเกินไป
– สังเกตสีของปัสสาวะ ถ้าสีเข้มหมายถึงร่างกายขาดน้ำ ต้องดื่มเพิ่มเพื่อสมดุลย์ร่างกายให้พอเหมาะ
– หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ที่จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
การปฐมพยาบาลผู้ที่เกิดอาการ Heat Stroke
สิ่งที่ต้องรีบทำเป็นอย่างแรกในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับผู้ที่เกิดภาวะ Heat Stroke นั่นก็คือการลดอุณหภูมิร่างกายของเขาให้เร็วที่สุด นำผู้ป่วยไปในที่อากาศเย็นและอากาศถ่ายเท ใช้น้ำแข็งประคบคอ หลัง เพราะพื้นที่เหล่านี้มีการไหลเวียนของเลือดสูง กระตุ้นให้ร่างกายลดอุณหภูมิลง และเช็ดตัวผู้ป่วยด้วยน้ำเย็น และทางที่ดีให้รีบนำส่งโรงพยาบาลต่อไป
สาระเพิ่มเติม เรื่องโรคต่างๆที่มักเกิดขึ้นกับนักวิ่ง
สำหรับนักวิ่งแล้วปัญหาเหล่านี้อาจจะเคยเจอกันมาทุกคนแต่ยังไม่รู้สาเหตุและวิธีป้องกันเรามาดูกันว่าอาการที่นักวิ่งเจอกันบ่อยๆ นั้นมันมีสาเหตุและวิธีแก้อย่างไร
1. ปวดท้องระหว่างวิ่ง
การวิ่งเป็นกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ซึ่งทำให้เกิดความกดดันขึ้นที่ช่วงท้องได้ง่าย
สาเหตุที่เราปวดท้องระหว่างวิ่งนั้นมีอยู่หลายอย่าง แต่ประเด็นหลักก็คือเรื่องอาหารการกิน เราควรกินอาหารให้เสร็จก่อนที่จะวิ่งราวๆ 2-4 ชั่วโมง ไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ๆ ในช่วงก่อนวิ่งกระชั้นชิดมากนัก เพราะถ้าในกระเพราะยังมีการย่อยอาหารเกิดขึ้น ต้องมีเลือดไปเลี้ยงส่วนท้องเพื่อให้กระบวนการย่อยอาหารนั้นเสร็จสิ้น แต่เรากำลังวิ่งอยู่ทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ไปเลี้ยงช่วงท้องไม่เพียงพอทำให้เกิดอาการผิดปกติและปวดท้องได้ ดังนั้นถือเป็นข้อห้ามเลย และควรดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างวิ่งและก็ไม่ดื่มเยอะจนจุกด้วย
2. รองเท้ากัด
บางทีอาการนี้มันก็เกิดขึ้นมาแบบเราไม่คาดคิดเหมือนกัน เรื่องรองเท้ากัดจนเป็นตุ่มน้ำใส หรือหนังฉีกไปเลยแบบนี้ สาเหตุก็คืออย่างที่เราทราบๆ กัน การสวมใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่ยังไม่ชินเท้า ก็ทำให้เกิดอาการรองเท้ากัดได้ รวมถึงการวิ่งในสภาพที่เปียก รองเท้าถุงเท้าเปียก แบบนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการรองเท้ากัดเกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้าเกิดขึ้นระหว่างกำลังแข่งวิ่งอยู่นี่มันจะแสบจนแทบวิ่งต่อไม่ไหวทีเดียว แต่วิธีรักษาเบื้องต้นให้วิ่งต่อได้ยังพอมีอยู่ แต่ต้องระวังมากๆ นั่นคือการเอาเข็มเจาะบีบน้ำใสให้ออกมาโดยอย่าให้หนังเราถลอก และหาพลาสเตอร์ปิดแผลมาปิดไว้แน่นๆ นั่นพอที่จะทำให้เราวิ่งต่อไปได้ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้เกิดการเสียดสีในบริเวณที่รองเท้ากัดดังกล่าว
3. หน้าอกเป็นแผล
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอกับอาการนี้โดยเฉพาะนักวิ่งที่วิ่งในระยะทางยาว
หัวนมเป็นแผล สาเหตุมันก็เกิดจากเสื้อวิ่งของเรา ไปเสียดสีกับนมเป็นเวลานานนั่นเอง และยิ่งเราวิ่งมันก็ต้องมีเหงื่ออกให้เสื้อเปียกด้วยแล้วยิ่งทำให้การเสียดสีนั้นมันรุนแรงเข้าไปอีกทางแก้ก็คือ ถ้าเราสามารถใส่เสื้อที่ฟิตพอดีตัวได้ก็จะดี หรือพวกเสื้อวิ่งรัดรูปต่างๆ ก็ช่วยได้ และวิธีการง่ายๆ ก็คือหาพลาสเตอร์มาแปะหัวนมเอาไว้ก็เป็นวิธีการที่ดี
4. เลือดคั่งที่เล็บเท้า
ก็เป็นอีกอาการสำหรับนักวิ่งระยะทางไกลอีกเช่นกัน
สาเหตุที่เกิดอาการนี้ขึ้นก็คือ มีการกดและเสียดสีกับเล็บแบบซ้ำไปซ้ำมา เกิดขึ้นได้ตั้งแต่การที่เราไว้เล็บยาวเกินไป หรือรองเท้าคับและบีบนิ้วเท้าจนเกินไป วิธีป้องกันคือการตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ และเลือกไซส์รองเท้าที่ไม่คับจนเกินไป หรือหาอะไรมาพันที่นิ้วก็ช่วยได้เช่นกัน หากเกิดอาการนี้แล้วอีกไม่นานเล็บจะหลุดออกมา และต้องรอเล็บขึ้นใหม่นานหลายเดือนเลยทีเดียว ดังนั้นป้องกันเอาไว้ก่อนจะดีกว่า