สนุกสนานเบิกบานกับการวิ่งที่เต็มไปด้วยพลัง เพราะความพร้อมที่ได้จาก การวอร์มร่างกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์
Categories:
บทความน่ารู้, รวมบทความ
สนุกสนานเบิกบานกับการวิ่งที่เต็มไปด้วยพลัง เพราะความพร้อมที่ได้จาก การวอร์มร่างกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์
สำหรับการวิ่งแล้ว การฝึกความยืดหยุ่นร่างกายคือหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นผลดีกับนักวิ่งและนักกีฬา ที่รู้จัก การวอร์มร่างกาย ในแต่ละครั้งก่อนการวิ่ง ซึ่งจะทำให้การวิ่งนั้นได้ผลดีและไม่ส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อขา ซึ่งมีวิธีบริหารร่างกายที่น่าสนใจดังนี้

สาระน่ารู้เพิ่มเติมสำหรับการวิ่งที่หลากหลาย
• หากรู้สึกเหนื่อยเวลาวิ่งเสร็จ ให้มุ่งจิตใจไปที่การแกว่งแขน การแกว่งแขนเร็ว ก็จะวิ่งได้เร็วด้วย • มุ่งมั่น จดจ่ออยู่กับเป้าหมาย • วอร์มอัพก่อนเริ่มวิ่ง • ใช้แขนให้เป็นประโยชน์ ยิ่งแกว่งแขนเร็ว ขาก็จะยิ่งก้าวเร็ว พยายามไม่กำมือ การแบมือจะช่วยเรื่องอากาศพลศาสตร์ช่วยให้วิ่งได้เร็วขึ้น • ก่อนเริ่มวิ่ง ให้วิ่งอยู่กับที่เพื่อวอร์มอัพ • มองไปข้างหน้า ไม่ก้มหรือเชิดหัว • ลงทุนกับรองเท้าวิ่งดีๆ ที่เบาและใส่สบาย การวิ่งในรองเท้าที่ไม่มีการรองรับที่เพียงพอ สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณหน้าแข้งได้ ควรเปลี่ยนรองเท้าทุกๆ 480 กิโลเมตร หรือเมื่อสภาพรองเท้าดูแย่แล้ว • แบมือและแกว่งแขนไปข้างหน้า และเริ่มวิ่งก็น่าจะช่วยได้ • ถ้าวิ่งระยะทางยาวๆ อย่าวิ่งเร็วที่สุด พยายามรักษาพลังงานไว้ และค่อยๆใช้พลังงานให้ได้ตลอดการวิ่ง • วิ่งหลังตรง • สะพายเป้หนักๆแล้วออกไปวิ่งเร็วๆ แล้วค่อยเอาเป้ออกและวิ่งเร็วๆ • ก่อนที่จะเริ่มวิ่งจริงจัง คุณอาจจะเริ่มออกกำลังกายที่ช่วยสร้างกำลังขาก่อน • ดูแลรองเท้าให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ เช็คว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนรองเท้าหรือไม่ ด้วยการงอปลายรองเท้าไปในทิศทางของเชือกรองเท้า ถ้างอได้ง่าย ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว • วิ่งแข่งกับคนที่วิ่งเร็วกว่าคุณ อาจจะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจที่จะวิ่งให้เร็วขึ้น • วิ่งแข่งกับเพื่อนที่วิ่งเร็วกว่าคุณ ทำแบบนี้ 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วลองวิ่งแข่งกันอีกภายหลัง เพื่อที่จะได้ดูว่าคุณวิ่งเร็วขึ้นหรือไม่ • อย่าหันไปมองนักวิ่งข้างหลัง ให้จดจ่ออยู่กับตัวเอง และคนที่อยู่หน้าคุณ เพื่อที่จะได้ไม่สะดุดหกล้ม • ให้เพื่อนถ่ายวิดีโอขณะคุณวิ่ง เพื่อที่จะได้หาข้อบกพร่องและปรับท่าในการวิ่งหากจำเป็น • ใส่รองเท้าวิ่ง และไม่วิ่งเท้าเปล่า การวิ่งเท้าเปล่าสามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ • ถ้าคุณเป็นผู้หญิงผมยาว การมัดผมไว้ข้างหลังก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะผมจะไม่บังการมองเห็น • หายใจให้ถูกต้อง การหายใจไม่ถูกวิธี ก็เท่ากับการเสียพลังงานและความแข็งแรงไปเปล่าๆ • อย่าลืมยืดเส้นยืดสายก่อนวิ่ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
เคล็ดลับสุขภาพดีส่งเสริมการวิ่ง
การวิ่งเร็วไม่ใช่แค่ต้องออกกำลังกายมากขึ้น แต่ต้องดูแลให้ครบทั้งร่างกาย ทั้งการเลือกกินอาหารที่ถูกต้อง การดื่มน้ำและการดูแลทั้งจิตใจและร่างกายให้สมบูรณ์ อาหารที่ดีมีความสำคัญกับนักวิ่งมาก การออกกำลังกายหนักมากๆ จะทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อย จึงจำเป็นต้องชดเชยพลังงานที่เสียไป ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามิน และคุณค่าทางอาหารมากซึ่งจะช่วยให้คุณอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดเสมอ • คุณควรกินเนื้อสัตว์ เช่นไก่ เนื้อที่ติดมันน้อย ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมและโยเกิร์ต อาหารเหล่านี้มีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับนักวิ่ง รวมทั้งยังมีแร่ธาตุเหล็กและซิงค์ ซึ่งช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และแคลเซียมในนมก็ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก • คุณควรกินซีเรียลแบบธัญพืช และโปรตีนเป็นอาหารเช้า เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของวันที่ดี และทำให้อิ่มนาน แป้งที่ดีจะช่วยให้คุณมีพลังงาน การทำแท่งธัญพืชสำหรับไว้กินก่อน ระหว่าง และหลังการวิ่ง ก็เป็นตัวเลือกของอาหารให้พลังงานที่ดี การกินข้าวกล้อง หรือพาสต้าแบบโฮลวีตในปริมาณเล็กน้อย พร้อมด้วยเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน และผัก ก็เป็นตัวเลือกของอาหารเย็นหลังออกกำลังกาย ที่อร่อยและมีประโยชน์เช่นกัน พยายามหลีกเลี่ยงแป้งขัดสี เช่นข้าวขาว • พยายามกินผักและผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน ผลไม้และผักอุดมไปด้วยวิตามิน สารอาหารที่สำคัญ และคาร์โบไฮเดรตที่ดี ซึ่งช่วยให้อิ่มได้นานทั้งวัน โดยที่ไม่เพิ่มแคลลอรี่ อย่างไรก็ตามพยายามกินผลไม้และผักพร้อมเปลือก เพราะเปลือกคือส่วนที่มีคุณค่ามากที่สุด คุณยังควรกินผักและผลไม้หลายๆสี ยิ่งสีสดก็จะยิ่งมีประโยชน์ และมีสารต้านอนุมูลอิสระมาขึ้น เช่น สีแดงของมะเขือเทศมาจากไลโคปีน และแครอทก็เต็มไปด้วยเบตาแคโรทีนที่ทำให้มีสีส้มการวิ่งอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง จะวิ่งในร่มหรือกลางแจ้งก็ดีทั้งนั้น
Categories:
บทความน่ารู้, รวมบทความ
การวิ่งอย่างสม่ำเสมอช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง จะวิ่งในร่มหรือกลางแจ้งก็ดีทั้งนั้น
การวิ่งอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยการวิ่งย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา หลายคนไม่สะดวกออกไปวิ่งนอกบ้าน คุณสามารถออกกำลังแบบง่ายๆได้ด้วยการเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็น ลู่วิ่งไฟฟ้า จักรยาน ลู่เดินวงรี ซึ่งก็ช่วยเรื่องสุขภาพกายของคุณได้เช่นกัน ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพครบทั้ง 5 หมู่ ก็ยิ่งช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพร่างกายของคุณแข็งแรงเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน การวิ่งอย่างสม่ำเสมอช่วยให้กระดูกแข็งแรง
Sportlifeonline ชวนให้รักสุขภาพด้วยการวิ่ง
กระแสรักสุขภาพด้วยกิจกรรมการวิ่งเป็นเทรนด์ที่ทำให้ทุกคนคึกคัก เป็นวิถีที่คนรุ่นใหม่นอกจากฟิตเนสแล้ว ยังมีการออกกำลังกายหลายอย่างเพิ่มเติม เช่น การวิ่งในระยะต่างๆ T25 การปั่นจักรยาน การเดินป่า เป็นต้น ซึ่งเหตุผลที่การวิ่งนั้นกลายเป็นกีฬายอดนิยมลำดับต้นๆในหมู่คนรุ่นใหม่ อาจจะด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้คือ • ต้นทุนไม่แพง • ใช้อุปกรณ์ไม่เยอะเหมือนอย่างอื่น • เริ่มต้นได้ง่าย • ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว • สามารถเป็นสัญลักษณ์ของคนรักสุขภาพได้ หากบอกว่าวิ่งคือกีฬาประจำตัวสาระน่ารู้สำหรับผู้ชื่นชอบวิ่งในที่ร่ม เรื่อง การเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าคู่ใจอย่างมีคุณภาพ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญต่างๆดังต่อไปนี้
1. ยี่ห้อและตัวแทนจำหน่าย สิ่งแรกที่เราควรดูกันก่อนเลยคือยี่ห้อและตัวแทนจำหน่าย ที่สามารถมั่นใจได้ว่าหากเราเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ามาแล้ว จะมีบริการซัพพอร์ทดูแล ส่งซ่อมแซมแก้ไขปัญหา มีรับประกันคุณภาพ 5 ปี คุณอาจจะซื้อจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง หรือซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย 2. กำลังมอเตอร์ เมื่อเรามั่นใจในเรื่องของคุณภาพและการรับประกันแล้ว สิ่งที่เราจะต้องดูต่อจากนี้ เป็นในส่วนของคุณสมบัติของมอเตอร์ตัวเครื่อง ซึ่งเราจะต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อนว่า เราจะเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า มาเพื่อการเดิน หรือ การวิ่งโดยหากคุณต้องการลู่วิ่งไฟฟ้ามาเดินออกกำลังกาย เลือกมอเตอร์ขนาด 1.5 แรงม้าก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้าจะซื้อมาเพื่อการวิ่งอย่างจริงจัง แนะนำให้เลือกลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่นที่มีมอเตอร์แรงกว่า 2.5 แรงม้าขึ้นไป 3. ขนาดของสายพาน ขนาดของสายพานก็เป็นอีกจุดที่เราจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน ถ้าหากเราใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าเพื่อการเดิน ขนาดความกว้างของสายพานสัก 45 เซนติเมตร ยาวสัก 140 เซนติเมตร และความหนาประมาณ 1.6 มิลลิเมตรก็เพียงพอ แต่ถ้าหากคุณต้องการเลือกลู่วิ่งไฟฟ้ามาเพื่อการวิ่ง สายพานจะต้องมีขนาดกว้าง 50 เซนดิเมตร ความยาว 150 เซนติเมตร และความหนาจะต้องไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร เพื่อความสะดวกและความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งาน 4. ขนาดของลู่กลิ้ง ลู่วิ่งไฟฟ้า จะมีลูกกลิ้งทรงกระบอกอยู่ตรงช่วงด้านหน้าและท้ายของสายพาน การเลือกขนาดของลูกกลิ้ง จะต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 2.5 นิ้ว เพราะถ้าหากลูกกลิ้งมีขนาดที่เล็กเกินไป รอบการหมุนก็จะเร็วมากกว่าลูกกลิ้งที่มีขนาดใหญ่ การเสื่อมสภาพของลูกปืนต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้เร็วมากกว่าอีกด้วย 5. ความเร็วและความชัน สำหรับคนที่อยากจะได้ลู่วิ่งไฟฟ้าไว้ใช้สำหรับการเดินออกกำลังกาย ก็เลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่สามารถปรับระดับความเร็วได้มากกว่าการเดินปกติของเราเล็กน้อย อาจจะเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่สามารถปรับความเร็วได้สูงสุด 16 กม./ชม. แต่สำหรับคนที่ต้องการวิ่งจริงจัง ก็เลือกตัวที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยสัก 20 กม./ชม. ก็เพียงพอต่อการใช้งาน 6. ความหนาของไม้กระดาน คงไม่มีใครอยากที่จะวิ่งออกกำลังอยู่แล้วลู่วิ่งหัก ดังนั้นความหนาของไม้กระดานไม่ควรต่ำกว่า 1 นิ้ว เพื่อความปลอดภัยต่อการใช้งานลู่วิ่งไฟฟ้า ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการวิ่ง 7. ระบบความปลอดภัย เมื่อเราพูดถึงกันเรื่องความปลอดภัยของการใช้งานลู่วิ่งไฟฟ้า แน่นอนว่าเราจะต้องตรวจสอบด้วยว่า ลู่วิ่งไฟฟ้าที่เรากำลังจะตัดสินใจซื้อ มีระบบรักษาความปลอดภัยหรือไม่ หากเราวิ่งแล้วเสียจังหวะล้ม ระบบจะต้องตัดการทำงานทันที นอกจากนี้จะต้องมีระบบรองรับแรงกระแทก เพื่อลดอาการบาดเจ็บตามข้อเข่าข้อเท้าอีกด้วย 8. ฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติม นอกจากคุณสมบัติหลักๆข้างต้นแล้ว เรายังต้องพิจารณาฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติมอีกด้วย อาทิเช่น พวกอุปกรณ์ต่อเสริม เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ลำโพงสำหรับฟังเพลง ต่างๆ ที่อาจจะเป็นจุดเด่นที่อาจจะทำให้เราสามารถตัดสินใจใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คนรุ่นใหม่แบ่งเวลาให้กับ การวิ่ง มากขึ้น Sportlifeonline พร้อมให้บริการรองเท้าแก่นักวิ่งทุกท่าน
Categories:
บทความน่ารู้, รวมบทความ
คนรุ่นใหม่แบ่งเวลาให้กับ การวิ่ง มากขึ้น Sportlifeonline พร้อมให้บริการรองเท้าแก่นักวิ่งทุกท่าน
ต้องรอบรับว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมากระแสการออกกำลังกายด้วย การวิ่ง เป็นที่นิยมมากขึ้น เรียกว่าเป็นยุคแห่งการวิ่งออกกำลังกายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่การวิ่งไม่ได้ให้แค่สุขภาพที่แข็งแรง แต่ยังเป็นการฝึกความมีระเบียบวินัยของตนเองในการจัดสรรเวลามาวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจของตัวเราเอง
Sportlifeonline เชิญชวนคุณผู้อ่านมาวิ่งด้วยกัน เพราะจะได้มีโอกาสเติมเต็มความสุขจากการวิ่ง ความสนุกสนานและมิตรภาพระหว่างทางสู่เส้นชัยด้วย
การวิ่งมีหลายประเภท นอกจากวิ่งบนท้องถนน วิ่งเทรลในเส้นทางธรรมชาติแล้ว ยังมีการวิ่งมาราธอนซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวไม่ได้เป็นเพียงแค่มีรองเท้าคู่ใจแล้วออกไปวิ่งเพราะการวิ่งอย่างถูกต้องจะป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นหัวใจของการออกกำลังกายให้ได้ประโยชน์ที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วการออกกำลังกายทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ เช่นเดียวกันกับการวิ่ง ซึ่งความรู้เรื่องการวิ่งปัจจุบันสามารถหาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต แต่ทักษะการวิ่งที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนด้วยตนเอง และเข้าใจการวิ่งที่เหมาะสมกับตนเองนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
สาระน่ารู้เรื่องการวิ่ง
องค์ประกอบพื้นฐานของการวิ่งได้แก่ 1.อัตราการเร่ง (Acceleration) 2.ความเร็วสูงสุด (Maximum Speed/Absolute Speed) 3.ความเร็ว อดทน (Speed Endurance) และ 4.ท่าทางและเทคนิคการวิ่ง (Running Form and technique) สำหรับท่าวิ่งที่ถูกต้อง ผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์การกีฬาแถวหน้าของไทยบอกว่า ควรวางแขนให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ศอกทำมุมประมาณ 90 องศา การจัดตารางการฝึกซ้อม โดยควรฝึกซ้อมหนักสลับเบาและปานกลาง โดยเทคนิคของการจัดตารางขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่มีสูตรที่ตายตัวในการจัดตารางฝึก ถ้าช่วงแรกที่ต้องเสริมฐานมากๆ ก็อาจฝึกสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือวันเว้นวันก็ได้ การที่คนรุ่นใหม่ต่างหันมาวิ่งเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น ส่วนใหญ่อยากจะวิ่งให้เร็วขึ้นเพื่อทำสถิติเวลาของตนเองให้ดีที่สุด ซึ่งกุญแจสำคัญของการวิ่งให้เร็ว ได้แก่ ระยะทางและเวลา นักวิ่งควรกำหนดเป้าหมายของตนทั้งระยะทางและเวลาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วต้องกำหนดวิธีการวิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น หากเป็นคนที่วิ่งเร็วควรปรับการแกว่งแขนให้สอดคล้องกับความเร็วของตน ท่าทางการวิ่งที่เหมาะสมจะทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น และยังสามารถประคับประคองรักษาระดับความเร็วให้คงที่ได้ตลอดระยะทางการวิ่ง
สิ่งที่นักวิ่งควรรู้เกี่ยวกับ "กาแฟ"
กาแฟนอกจากจะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมแล้ว มันยังมีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพและสมรรถภาพร่าง กายของเหล่านักวิ่งกันด้วย ดังนี้
1. คาเฟอีนช่วยเพิ่มสมรรถภาพการวิ่งของคุณ มีงานวิจัยมากมายหลายร้อยชิ้น ที่มีผลลัพธ์ออกมาตรงกันว่าการที่ร่างกายได้รับคาเฟอีนก่อนที่จะมีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานร่างกายนั้นจะช่วยให้คุณทำมันได้ดีขึ้นคุณอาจวิ่งได้ไกลขึ้น เร็วขึ้นมากกว่าตอนที่ไม่ได้รับคาเฟอีนและผลของมันเกิดขึ้นจริงในการศึกษาทดลองทั้งกับนักวิ่งประเภทวิ่งทนทางไกลและนักวิ่งแบบเน้นความเร็วระยะสั้น 2. ดื่มกาแฟจะได้ผลเมื่อร่างกายคุณได้รับคาเฟอีนถูกเวลา การศึกษาทดลองเพิ่มเติมจากปีก่อนนี้เอง บ่งชี้ให้เห็นว่าเวลาที่ดีที่สุดที่จะนำคาเฟอีนสู่ร่างกายคุณเพื่อหวังผลในการเพิ่มสมรรถภาพร่างกายในการวิ่งก็คือในช่วง 1 ชั่วโมง ก่อนที่คุณจะเริ่มวิ่ง 3. ร่างกายต้องได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป ทุกสิ่งอย่างถ้าหากมากเกินไปก็อาจไม่ส่งผลดีเพราะทางการศึกษาวิจัยค้นพบว่าปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมต่อร่างกายมนุษย์แต่ละคน ในกรณีที่จะหวังเพิ่มสมรรถภาพการวิ่งนั้นอยู่ที่ 6 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม นั่นหมายความว่าถ้าเราหนักราวๆ 70 กิโลกรัม กาแฟเข้มๆ สัก 12 ออนซ์ ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งการเพิ่มเติมคาเฟอีนเข้าไปในร่างกายมากเกินกว่านั้นก่อนจะวิ่ง นอกจากจะไม่ส่งผลดีเพิ่มเติมแล้ว คุณยังเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจจะตามมาอย่างเช่นอาการเวียนหัว กระวนกระวาย หรือใจสั่นได้ 4. กาแฟช่วยบำรุงสมองได้ มีการเปิดเผยถึงผลศึกษาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการนำสารคาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายเพียวๆกับการนำคาเฟอีนสู่ร่างกายโดยการดื่มกาแฟ ค้นพบว่าการได้รับคาเฟอีนผ่านทางกาแฟจะมีสารเกิดขึ้นหลายอย่างรวมถึงโพลีฟีน่อลซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงบำรุงสมองได้ด้วย 5. ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ากาแฟ เป็นต้นเหตุให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ จากการศึกษาทดลองเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเข้าไป 5 แก้ว แทบจะส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำหรือเกิดกระหายน้ำน้อยมากหรือไม่มีอาการเกิดขึ้นเลย อย่างไรก็ตามในเคสของบางคนที่ดื่มกาแฟก่อนวิ่งแล้วอาจจะเกิดอาการ กระหายน้ำ ให้เปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อทดแทนสิ่งที่คุณเสียไปกลับคืนมา 6. คุณไม่จำเป็นต้องดื่มกาแฟมากจนเกินไป จากการศึกษาของนิตยสาร Applied Physiology, Nutrition และ Metabolism แสดงให้เห็นว่าต่อมรับรสในปากของคุณสามารถรู้สึกได้ถึงรสชาติของคาเฟอีนและนำไปใช้เพิ่มสมรรถภาพการวิ่งได้ โดยคุณไม่จำเป็นต้องกลืนกาแฟลงไปด้วยซ้ำ คุณอาจจะแค่อมไว้ในปากแล้วบ้วนทิ้งไป จุดนี้เป็นประโยชน์ต่อการวิ่งในระยะทางไกล ซึ่งการกินน้ำในช่วงนั้นอาจทำให้เกิดอาการจุกได้ 7. กาแฟ ยังสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังจากออกกำลังเสร็จแล้วได้ด้วย มีงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้ให้นักขี่จักรยานสองคน ปั่นจักยานต่อเนื่องเป็นเวลาถึงสองวัน จนร่างกายอยู่ในสภาวะ Glycogen-Depleted State แล้วให้คนหนึ่งดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งให้ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่อย่างเดียว ปรากฏว่าคนที่ดื่มคาเฟอีนผสมได้รับ Glycogen กลับคืนมาถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าคนที่ไม่ดื่มคาเฟอีนการวิ่ง เป็นกิจกรรมจำเป็นสำหรับคนรักสุขภาพ
ยิ่งรัก การวิ่ง ยิ่งต้องใส่ใจ เพราะการวิ่งที่ถูกต้องนั้นสำคัญในระยะยาว การวิ่งเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวันควรวิ่งอย่างถูกวิธีและมีหลักการอยู่บ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงอาการการบาดเจ็บจากการวิ่งและส่งผลให้การวิ่งนั้นบรรลุเป้าหมาย นั่นคือ ทำให้สุขภาพเราดีขึ้น

เคล็ดลับการเริ่มต้นวิ่งออกกำลังกาย
เราอาจเดินไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 20 นาที ในวันแรกๆ สัปดาห์ที่สอง เริ่มออกวิ่งช้าๆ ระยะสั้นๆ เช่น 50 เมตร 100 เมตร เมื่อรู้สึกเหนื่อยก็เปลี่ยนมาเป็นการเดินหายเหนื่อยแล้วก็วิ่งต่อ จนครบเวลา 20-30 นาที ค่อยๆเพิ่มการวิ่งไปทีละน้อยจนสามารถวิ่งได้ตลอดเวลา 30 นาที สำหรับความเร็วของแต่ละคนนั้นไม่มีความเร็วที่ตายตัว การวิ่งเหยาะๆ ของคนหนึ่งอาจเป็นการวิ่งเร็วอย่างเอาเป็นเอาตายของอีกคนหนึ่ง จึงไม่มีใครจะมาบอกได้ว่า การวิ่งด้วยความเร็วเท่านั้นเท่านี้จะเป็นความเร็วที่เหมาะสม มีแต่เจ้าตัวเองที่จะบอกได้ดีที่สุดว่า ความเร็วที่เหมาะสมกับตัวเขาเป็นเท่าไร โดยปกติจะถือว่าความเร็วที่ทำให้หัวใจเต้นขึ้นไปในระดับ 120-130 ครั้งต่อนาที เป็นขนาดกำลังดีสำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพ ใครที่วิ่งไปคุยไปกับคู่วิ่งได้ ก็ถือว่าร่างกายปรับสภาพใช้ได้ แต่การวิ่งเร็วจนหอบพูดไม่ออก เป็นการหักโหมเกินไปส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและเกิดการบาดเจ็บได้ง่ายผลคือท่านจะเลิกการวิ่งไปในชั่วระยะเวลาอันสั้น สำหรับผู้ที่รักจะวิ่งทุกวัน การวิ่งหนักเบาสลับกันไปในแต่ละวันจะช่วยให้มีการเพิ่มสมรรถภาพและมีช่วงพักฟื้นที่ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ทัน
ข้อแนะนำการลงเท้าในขณะที่วิ่ง
• ไม่ควรวิ่งปลายเท้า เราจะเห็นนักวิ่ง วิ่งเช่นนั้น ในการแข่งขันวิ่งระยะสั้น เช่น 100 เมตร, 200 เมตร เท่านั้น ส่วนการวิ่งระยะยาวจะใช้การลงเท้าที่ส้นหรือเต็มฝ่าเท้า การวิ่งลงปลายเท้า จะเพิ่มงานให้แก่กล้ามเนื้อบริเวณหน้าแข้งโดยไม่จำเป็น ผู้วิ่งจะต้องออกแรงหนักขึ้นเพื่อกันไม่ให้ตัวล้มไปข้างหน้า และที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป การวิ่งลงปลายเท้ากลับทำให้ช่วงก้าวสั้นลง เมื่อเปรียบเทียบกับลงส้นเท้าหรือเต็มฝ่าเท้า
• นักวิ่งเพื่อสุขภาพไม่ควรโน้มตัวไปข้างหน้า ท่าวิ่งชนิดนี้สงวนไว้สำหรับนักวิ่งระยะสั้น หลังควรจะตั้งตรงมะฉะนั้น วิ่งๆ ไปท่านอาจเกิดอาการปวดหลังขึ้นมาได้
• แขนควรปล่อยตามสบาย อย่าไปฝืนเกร็ง ศอกงอเล็กน้อย และแกว่งตามจังหวะการวิ่ง ไม่ควรเกร็งแขนมาก จนเกินความจำเป็นจะเปลืองแรงไปเปล่าๆ การเกร็งแขนและศอกชนิดพับติดกับหน้าอกนั้นจะทำให้ปวดคอและไหล่วิธีหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้เกิดการเกร็ง คือ ลดไหล่ลงและกำมือหลวมๆ
• ช่วงก้าวควรแล้วแต่ความเร็วของการวิ่ง วิ่งช้าช่วงก้าวจะสั้น วิ่งเร็วขาจะถูกยกสูงขึ้นและช่วงก้าวยาวออกโดยอัตโนมัติ ไม่ควรพยายามก้าวให้ยาวออกไป การกระทำเช่นนั้นจะทำผลให้น้ำหนักตัวตกออกนอกฐาน กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย วิธีที่จะเช็คว่าก้าวไม่ยาวเกินไป คืออย่าให้ปลายเท้าก้าวล้ำหัวเข้าในขณะเท้าจะสัมผัสพื้น

การ Warm – Up ร่างกายก่อนวิ่ง
การ Warm-Up คิดว่าทุกท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่แต่ละคนว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน การ Warm-Up เป็นการ กระตุ้นระบบของร่างกาย ที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งให้พร้อมสำหรับการวิ่งตามโปรแกรม จึงทำให้การวิ่งนั้นได้ผล อย่างเต็มที่ และปลอดภัย การ Warm-Up ควรทำทั้งการบริหาร เหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็นให้ อยู่ใน สภาพพร้อมเคลื่อนไหวและการวิ่งเหยาะๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจให้พร้อมสำหรับ รับศึกหนักควร Warm-Up นานไม่น้อยกว่า 4 – 5 นาทีการ Cool – Down หลังการวิ่ง
การผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่งเป็นสิ่งจำเป็นควรใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 – 5 นาที เพราะขณะวิ่งเลือดแดงจะมาเลี้ยงที่ส่วนขามากและการไหลกลับของ เลือดดำสู่หัวใจทำได้อย่างรวดเร็วจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อขา เมื่อหยุดวิ่งทันทีกล้ามเนื้อขาจะคลายตัว ทำให้ขาดการบีบเลือดดำกลับคืนไปสู่หัวใจดังนั้นเลือดจะคั่งในส่วนล่างของร่ายกายมาก ทำให้ร่างกายส่วนบนขาดเลือดชั่วคราว โดยเฉพาะสมองจึงทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมได้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่เคยออกกำลงกายมาก่อนการวิ่งที่สมบูรณ์ มาจากสภาวะกล้ามเนื้อ และร่างกายที่แข็งแรง
Sportlifeonline ร่วมห่วงใยนักวิ่งรุ่นใหม่ทุกท่าน
ภาวะสุขภาพที่ดี เป็นความต้องการของทุกคน นอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องครบถ้วนแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค เช่นการวิ่ง การวิ่งที่สมบูรณ์ ก็ถือเป็นยาขนาดเอกบำรุงและฟื้นฟูสภาพร่างกายช่วยผ่อนคลายจากความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงาน การออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายที่สุดและกำลังได้รับความนิยม นั่นก็คือ การวิ่ง เนื่องจากสามารถทำได้ง่าย สะดวก ไม่จำกัดสถานที่และไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งการวิ่งเพื่อสุขภาพ จะต้องกำหนดท่วงท่าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ ข้อแตกต่างระหว่างการวิ่งกับการเดิน คือ ขณะก้าวเดินจะมีเท้าข้างหนึ่งรับน้ำหนักร่างกาย แต่การวิ่งจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เท้าทั้งสองข้างลอยเหนือพื้นและเมื่อเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น เท้านั้นจะรับน้ำหนักร่างกายไว้มากกว่าปกติ ดังนั้นเทคนิคการวางเท้าขณะวิ่งมีความสำคัญมาก ขอแนะนำการจัดระเบียบร่างกายในการวิ่งเพื่อสุขภาพ ดังนี้


สาระน่ารู้เรื่องความเร็วในการวิ่ง
หลายๆคนคงคุ้นเคยและทำกันมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม แต่การวิ่งเพื่อสุขภาพ มันไม่ใช่เพียงแค่การวิ่งให้เร็วหรือช้าแต่มันมีหลักการมากกว่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด การวิ่งที่ดีนั้นไม่มีความเร็วที่ตายตัว วิ่งให้เหมาะสมกับตัวเอง โดยปกติความเร็วที่ทำให้หัวใจเต็น 120-130 ครั้งต่อนาที เป็นความเร็วที่กำลังดี แต่ไม่ต้องถึงกับวิ่งไปนับจังหวะหัวใจไป แค่ใช้วิธีง่ายๆคือ "วิ่งไปคุยไป" ถ้าเราคุยได้ แสดงว่าความเร็วใช้ได้ แต่ถ้าวิ่งเร็วจนหอบพูดไม่ออก เป็นการหักโหมเกินไป ร่างกายจะอ่อนเพลีย บาดเจ็บได้ง่าย ในทางกลับกัน ถ้าเราวิ่งด้วยเวลาเท่าเดิม ความเร็วเท่าเดิมทุกวัน ร่างกายของเรา เมื่อปรับจนชินกับสภาพการวิ่งแล้ว ก็จะหยุดปรับตัว ผลคือไม่ได้ความแข็งแรงขึ้นอีก เราควรแสวงหาความแปลกใหม่ให้กับชีวิตการวิ่งบ้าง
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิ่ง
1. ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอดและหัวใจทำงานดีขึ้น 2. ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง 3. กระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด และทำให้รู้สึกมีความสุข 4. ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดภาวะกระดูกพรุน 5. ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย ลดพุง ช่วยให้หุ่นกระชับ ห่างไกลจากโรคอ้วน 6. ช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น 7. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
สร้างสมดุลชีวิต และมอบความสุขให้ตนเองได้ด้วย การวิ่ง ใจที่สดใสมาจากกายที่แข็งแรง
Categories:
บทความน่ารู้, รวมบทความ
สร้างสมดุลชีวิต และมอบความสุขให้ตนเองได้ด้วย การวิ่ง ใจที่สดใสมาจากกายที่แข็งแรง
เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยให้สุขภาพดีขึ้น มีอายุยืนนานขึ้น ซึ่ง การวิ่ง ถือเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมสูงสุด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือมีต้นทุนอะไรมาก เพียงแค่มีรองเท้าวิ่งดีๆสักคู่ เสื้อผ้าและเวลาว่างที่เหมาะสมก็ไปวิ่งได้แล้ว การวิ่งและการเดินเร็วสามารถทำได้ทั้งที่บ้าน สวนสาธารณ ในยิม หรือ สนามกีฬา โดยแผนกสุขภาพและบริการของสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ในคนที่สุขภาพดี ไม่มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ ข้อเข่าเสื่อม ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างเบาๆ เช่น เดินเร็ว 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ อีกทางเลือกหนึ่งคือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างหนักๆ เช่น วิ่ง 75 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 15 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ และถ้าสารมารถออกกำลังกายในลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ก็จะยิ่งมีผลดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น
การวิ่งอย่างสม่ำเสมอ มีผลสัมพันธ์ต่อชีวิตและหัวใจ
มีรายงานการศึกษาบทหนึ่งบ่งชี้ว่า จะต้องวิ่งมากแค่ไหนถึงจะดีต่อหัวใจและอายุขัยของคนเราซึ่งเป็นการศึกษาในประชากรผู้ใหญ่จำนวน 55,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่วิ่งกับกลุ่มที่ไม่วิ่ง และติดตามดูผลเป็นเวลา 15 ปี เมื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ นักวิจัยพบว่า กลุ่มที่วิ่งเหยาะๆ มีความเสี่ยงเสียชีวิตจากสาเหตุทั่วไปน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่วิ่งถึง 30 % และตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่วิ่งมากถึง 45 % โดยประโยชน์สูงสุดกับคนที่วิ่งสม่ำเสมอ ส่วนคนที่เลิกวิ่งหรือเพิ่งเริ่มวิ่งภายหลังได้ประโยชน์ราวครึ่งหนึ่งและเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างนักวิ่งไม่ใช่วิ่งเหยาะๆกับคนที่ไม่วิ่ง พบว่าการวิ่ง 30-59 นาที ต่อสัปดาห์ หรือ 5-10 นาทีต่อวัน สัมพันธ์กับสุขภาพของหัวใจและอายุขัย ถึงแม้ว่าการวิ่งที่มากขึ้นจะยิ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะอิ่มตัวไม่ได้เพิ่มประโยชน์ต่อหัวใจและอายุขัยข้อแนะนำสำหรับผู้เริ่มวิ่ง
- ถ้าอายุมาก มีโรคร่วมและไม่เคยเล่นกีฬาอย่างอื่นมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน - ควรซื้อรองเท้าวิ่งสักคู่ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเท้า เลือกชุดวิ่งที่หลวมสบายไม่คับ และโปร่งบางเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี ไม่แนะนำให้ใส่ชุดวอร์มเพราะนั่นเหมาะสำหรับประเทศหนาว - ควรเริ่มต้นด้วยการเดินให้เกิดความฟิตของเขา เดินจากช้าไปเร็วจนเกิดความฟิตแล้วจึงค่อยๆเพิ่มการวิ่งเข้าไปจนเกิดความฟิต คือไม่เหนื่อยหอบแล้วจึงเพิ่มความเร็วตามต้องการ ต้องใช้เวลา อย่ารีบเร่ง ซึ่งอาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพขณะวิ่งไม่ควรเหนื่อยหอบ ควรจะสนทนากับเพื่อนได้ - เวลาวิ่งเมื่อก่อนมีคำแนะนำให้ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าแต่ปัจจุบันแนะนำให้ลงน้ำหนักที่ปลายเท้าทางด้านนิ้วก้อยแล้วโยกไปทางหัวแม่เท้าแล้วไปลงสู่ส้นเท้าวิธีนี้จะไม่กระแทกข้อเข่ามากเท่ากับวิธีเดิม - บางคนกลัวข้อเข่าเสื่อมเสียหายจากการวิ่ง ถ้าเราทำไม่มากความเสียหายก็เกิดน้อย ถ้าไม่ทำเลยจะเสียหายต่อสุขภาพมากกว่า
เทคนิคการทานเติมพลังงานระหว่างวิ่ง
1. การกินระหว่างการแข่งขันจำเป็นต้องมีการฝึกฝน ไม่แนะนำให้ลองกินระหว่างการแข่งขันจริง เพราะนักวิ่งแต่ละคนสามารถรับประเภทอาหารได้ต่างกัน อาหารที่มีตามท้องตลาดที่มีขาย จะมีหลายประเภท อย่างเช่น energy gel, energy bar, ธัญพืชแห้งและกล้วยตากแห้ง เป็นต้น บางคนกินพวกเจลไม่ได้ก็ต้องเลือกเป็นกล้วยตากแห้งหรือธัญพืชแทน สำหรับใครที่ตั้งเป้าหมายที่จะลงมาราธอนแรก ในช่วงการซ้อมวิ่ง Long Run จึงถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้ทดลองและฝึกกินอาหารขณะวิ่ง นักวิ่งจะได้ทดลองประเภทอาหารที่ถูกปากถูกท้องไปในตัวด้วย 2. กินที่ละน้อย กินที่ละนิด สำหรับใครที่มีปัญหาการย่อยอาหาร หรือไม่คุ้นเคยการกินระหว่างวิ่ง ไม่สามารถกินทั้งแผงหมดที่เดียวได้ แนะนำให้ใช้วิ่งกินแบบชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกินบ่อย ซอยระยะกินตามระยะทางที่ 5-8 กิโลเมตรแล้วกินหนึ่งครั้ง แทนที่จะกินทุกระยะ 12-16 กิโลเมตร 3. กินเพื่อเติมพลังงานทุกๆ 30-45 นาทีต่อครั้ง เราควรมีการกินและให้ร่างกายมีเวลาย่อยดึงพลังงานไปใช้ ร่ายกายจำเป็นต้องมีเวลาในการย่อยอาหารไปเป็นพลังงาน ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้กินจะอยู่ที่ 30-60 กรัมต่อทุกๆ ชั่วโมง (หรือพลังงานประมาณ 100-200 Kcal ที่ต้องเติมสำหรับการวิ่งระยะเวลา 60-90 นาทีขึ้นไป) ทั้งนี้ปริมาณพลังงานที่เติมกลับต้องดูตามสภาพสนาม เพศอายุ เป้าหมายที่ต้องไว้และความเร็วที่ทำด้วย 4. ทดลองอาหารประเภทออร์แกนิคหรืออาหารธรรมชาติ แทนที่การใช้พวก energy gel และ energy bar เพราะจะมีราคาถูกกว่า อีกทั้งจะถูกปากถูกท้องมากกว่าเจลสำเร็จรูป ตัวอย่างเช่น ถั่ว น้ำผึ้ง ธัญพืชอัดแท่ง ผลไม้ตากแห้งอย่างพวกกล้วย เป็นต้น ยิ่งคนที่ไม่สามารถรับเจลได้ คงต้องทดลองหาอาหารที่ถูกปากถูกท้องไประยะใหญ่เลยละครับ 5. อย่าลืมน้ำ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเริ่มหิวน้ำนั้นแสดงว่าเรามีอาการขาดน้ำแล้ว น้ำถือเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการกินอาหารในระหว่างการแข่งขัน และเมื่อเรากินอหารแล้วก็ควรตามด้วยน้ำ เพื่อให้น้ำละลายสารอาหาร ลำเลียงและดูดซึม ทริคง่ายๆ เพื่อเลี่ยงอาการขาดน้ำในการวิ่งแข่งขันคือ ดื่มน้ำที่จุดบริการเลยครับ จุดละ 1-2 แก้วก็พอ 6. ทดลองเครื่องดื่มเกลือแร่หรือพวก Sport drink ดูบ้าง เพราะเครื่องดื่ม Sport drink บางแบรนด์จะมีการใส่คาร์โบไฮเดเรตลงไปด้วย ถ้าไม่สามารถหาของกินเป็นชิ้นเป็นอันได้ก็ลองดื่ม Sprot drink แทนก็ได้