เคล็ดลับการเลือกรองเท้าวิ่งที่ถูกใจ
เคล็ดลับการเลือกรองเท้าวิ่งที่ถูกใจ รองเท้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อนักวิ่งหน้าใหม่เพราะเราไม่รู้จักท่าวิ่งที่ถูกต้องนักและเรายังไม่รู้ว่าการวิ่งแบบไหนที่เหมาะกับเรา ถ้าเราไม่ใส่รองเท้าที่ออกแบบเฉพาะสำหรับวิ่ง โอกาสในการบาดเจ็บก็จะสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเท้าแพลง เจ็บเข่า ข้อเข่าอักเสบ อาการร้ายแรงเช่นเอ็นร้อยหวายอักเสบ หรือแม้แต่อุบัติเหตุจากเศษหินที่บาดเท้าเราเอาได้ หลายต่อหลายคนมักจะมีปัญหานี้ประกอบกับเลือกรองเท้าไม่ถูกหลักเพราะว่ารองเท้าสำหรับวิ่งนั่นมีมากมายเหลือเกินไม่รู้จะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง วันนี้เรามีคำแนะนำในการเลือกรองเท้าอย่างไรให้วิ่งสบายสำหรับทุกๆท่านครับ

1.ส้นเท้าของคุณ
ส้นเท้าของคุณควรชิดกับด้านหลังของรองเท้า แต่ไม่รัดแน่นจนเกินไป คาลล์ แบรนด์กล่าวว่า “เมื่อคุณดึงลิ้นรองเท้าขึ้นคุณควรจะสามารถถอดรองเท้าออกได้โดยไม่ต้องใช้มือช่วย” คุณอาจรู้สึกหลวมไปบ้าง แต่การผูกเชือกรองเท้าจะทำให้รองเท้าไม่หลุดจากเท้าของคุณแน่นอน แบรนด์ได้เตือนเอาไว้ว่า “ความคับของรองเท้าที่คุณรู้สึกได้จากการลองที่ร้านจะยิ่งมากขึ้นเมื่อคุณวิ่งจริง” ฉะนั้นคุณจึงไม่ควรเลือกรองเท้าที่คับมากเกินไป
2. หลังเท้าของคุณ
หลังเท้าของคุณควรแนบชิดพอดีกับรองเท้า แบรนด์กล่าวไว้ว่า “เมื่อมีคนบอกกับผมว่ารองเท้าของเขาบีบและแน่น ผมรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการรองเท้าที่ไซส์ใหญ่ขึ้น” หากรองเท้าของคุณคับแน่นเพราะลักษณะพิเศษจากการออกแบบเพื่อระบายความร้อนแล้วล่ะก็ ลองเปลี่ยนวิธีผูกเชือกดูก่อน หากยังรู้สึกแน่นเกินไปเราขอแนะนำให้คุณลองมองหาคู่อื่นจะดีกว่า
3. ความกว้างของรองเท้า
เจมส์กล่าวว่า “เท้าของคุณควรจะสามารถขยับซ้ายขวาภายในรองเท้าได้ โดยไม่รู้สึกถึงขอบพื้นรองเท้า” ถ้าหากรองเท้าของคุณบีบมากเกินไปแล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกได้ถึงอาการนิ้วเท้าตกขอบในขณะวิ่งจริง
4. ความยาวของรองเท้า
พึงระลึกไว้เสมอ ว่าเท้าของคุณจะบวมและยาวขึ้นในขณะที่วิ่งจริง รองเท้าที่คุณจะซื้อ ควรจะมีระยะห่างระหว่างปลายรองเท้ากับนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด เพื่อนหรือพนักงานขายจะช่วยคุณดูได้ว่าเท้าของคุณมีพื้นที่ว่างมากพอหรือไม่ในขณะที่คุณยืนตัวตรง เช็ท เจมส์ เจ้าของร้านรองเท้า Super Jock n’ Jill กล่าวไว้ว่า “พื้นที่ว่างตรงนี้แหละที่จะช่วยให้คุณไม่พบกับปัญหากับเท้าของคุณ”
5. ความยืดหยุ่นของรองเท้า
คาร์ล แบรนด์ เจ้าของร้านรองเท้า San Diego’s Moving Shoes แนะนำว่า “ลองหาจุดที่รองเท้าจะงอก่อนที่จะลองใส่” วิธีการง่ายที่สุดคือถือรองเท้าจากทางด้านส้นเท้าแล้วกดปลายรองเท้าลงกับพื้น จะพบว่ารองเท้านั้นมีจุดยืดหยุ่นตรงไหนและ ยืดหยุ่นแค่ไหน หากรองเท้านั้นจุดยืดหยุ่นไม่เหมาะกับเท้าของคุณ คุณอาจพบกับปัญหาข้อเท้าอักเสบและฝ่าเท้าอักเสบ และถ้าหากรองเท้าคู่นั้นๆไม่ยืดหยุ่นมากพออาจจะทำให้เกิดปัญหาเอ็นร้อยหวายอักเสบหรือตะคริวกินขาได้
6. เลือกตามความรู้สึกของคุณเอง
แท้จริงแล้วไม่ว่าจะจุดยืดหยุ่นหรือความยืดหยุ่นของรองเท้าก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือรองเท้าคู่นั้นเหมาะกับการเดินของคุณหรือไม่ต่างหาก วิธีการเดินและการขยับร่างกายของทุกคนนั้นแตกต่างกัน คุณไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่ารองเท้านั้นๆเหมาะกับคุณหรือไม่เพียงแค่ยืน เราแนะนำให้คุณลองเดินไปรอบๆ อาจจะลองเดินบนเครื่องวิ่งในร้าน หรือแม้กระทั่งลองเดินขึ้นลงบันได เจมส์กล่าวไว้ว่า “ความรู้สึกเป็นธรรมชาติเมื่อเดินนี่แหละที่ทำให้รู้ว่าเหมาะหรือไม่” เขายังบอกอีกว่า “ลองหารองเท้าที่ซัพพอร์ตเท้าของคุณน้อยลงหน่อย ถ้าหากคุณรู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวเวลาเดิน” เนื่องรองเท้านั้นควรจะเป็นส่วนเติมเต็มและช่วยเหลือคุณในทุกๆย่างก้าวไม่ใช่เปลี่ยนวิธีการเดินของคุณ
ไม่ควรทานสิ่งเหล่านี้ก่อนวิ่ง
• เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนมแม้ว่านักวิ่งหลายๆคนจะชอบการดื่มนมช็อคโกแลตหลังวิ่งเสร็จ แต่การดื่มก่อนวิ่งดูจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก เพราะทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในนมนั้น ย่อยยากจึงควรหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้
• ผักผลไม้ปั่นผสมน้ำตาล โดยมากเครื่องดื่มเหล่านี้มักมีน้ำตาลสูงมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหากับตับ และก่อให้เกิดโรคอ้วนอีกด้วย
• เครื่องดื่มแอลกฮอล์ นอกจากเบียร์นั้นจะทำให้เกิดอาการขาดน้ำแล้ว ยังทำให้การตัดสินใจของเราผิดพลาดมากขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นหากเราต้องการจะดื่มอะไรสักอย่าง ให้มองหากาแฟคั่วเข้มมันจะช่วยให้เราตื่นตัวมากขึ้นและมีแรงมากขึ้น
• เครื่องดื่มอัดลมทั้งหลายเพราะมีน้ำตาลสูงมาก จึงไม่น่าตกใจที่จะเป็นเครื่องดื่มที่เราควรเลี่ยง อีกทั้งยังจะส่งผลให้เรามีอาการปวดมวนในท้องและเกิดแก๊สเกินในกระเพาะอาหาร แนะนำให้เลือกชาเขียวแบบน้ำตาลน้อยจะดีกว่า เพราะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังช่วยลดโอกาสของการเกิดมะเร็งต่างๆอีกด้วย
• เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกะทิแม้ว่าน้ำมะพร้าวนั้นจะเหมาะกับการดื่มก่อนและหลังวิ่งอย่างมาก แต่น้ำกะทินั้นเรียกได้ว่าต่างกันคนละโยชน์เลยทีเดียว เนื่องจากกะทินั้นมีไขมันสูงและคาโบไฮเดรตต่ำทำให้ย่อยยาก